วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เพลิน พรมแดน

โปสเตอร์ภาพยนต์
ผมจะเล่าเรื่องเพลงสมัยผมเล็กๆ ก่อนนี้ก็นานมาแล้วประมาณ 50 ปีที่แล้ว บ้านนอกยัง ไม่มีวิทยุยังไม่มีเพลงฟัง  ได้ยินแต่พระสวดตามวัด หนังตลุง มโนรา และวงกาหลอที่เล่นตามงานศพ เพลงบอกที่ว่ากันสดๆ  เสียงดีครับคนสมัยนั้น 

ต่อมาที่บ้านผม ก็มีคนสร้างเครื่องไฟ (เครื่องขยายเสียง บวกเครื่องปั่นไฟ ) ทีจำได้ก็บ้านน้าปอง กับบ้านน้ารุ่น เป็น 2 พี่น้อง บ้านนี้ซื้อรถฟอร์ดไถนา คันใหญ่ๆมารับจ้างก่อน ต่อมาบ้าน ลุงไข่ ก็สร้างโรงสี ที่โรงใหญ่ระบบพิสดารพันลึกสำหรับเด็กๆสมัยนั้น มีเครื่องปั่นไฟที่ต้องใช้มือหมุนเพือสตาร์ทเครื่อง ความรู้สึกสมัยนั้น การทำงานไม่ว่าโรงสี หรือมีเครื่องไฟ นับว่าเท่ห์สุดๆ เครื่องเทปที่เปิดก็เป็นแบบ 2 ม้วนใหญ่ๆ เพลงที่มีก็ เพลิน พรมแดน ไวพจน์ เพชรสุพรรณ สุรพล สมบัติเจริญ และไม่แน่ใจว่ามี ผ่องศรี วรนุชด้วยหรือเปล่า ผ่านมาไมากี่ปีแถวบ้านผมก็มีวงดนตรีแบบบ้านๆประเภทรำวงเวียนครก มีเครื่องดนตรี 2-3 ชิ้น โต้โผใหญ่ชื่อ คุณนิยม วงศ์สว่าง แต่เรียกตัวเองว่า นิยม มารยาท ผมงงอยู่หลายปีว่ามาจากไหน  พึ่งมารู้ก็ตอนทำงานแล้ว นิยม มารยาท มาจากวงอาจารย์ เพลินนี่เอง

ฟอร์ดไถนาปัจจุบันยังเป็นทรงเดียวกัยสมัยก่อนโน้น
 เพลงลูกทุ่ง ที่เปิดเทปสมัยนั้น ฟังๆดูน่าจะมีแต่เสียทอมบ้า ฉิ่ง และฉาบ อย่างอื่นรู้สึกว่ายังไม่มี   ผมจำได้แต่เพลง หลวงแจ้ง (นายแจ้ง คิดถูก) แกร้องเพลงตามงานวัดงานตามบ้าน (แต่งงาน งานศพ งานบวช ฯ ) เห็นมีร้องอยู่เพลงๆเดียว(เพลงแรกในชีวิตที่ผมได้รู้จักในโลกนี้) ที่ร้องว่า "  แฟน แฟน แฟน แฟน อยู่คนละแดน เรียกว่าแฟนสุพรรณ จดหมายที่ต่อถึงกัน นั่นแหละคนนั้นเขาเรียกกันว่าแฟน ฯลฯ " ไม่รู้ว่าชื่อเพลงอะไร จะไปถามหลวงแจ้ง แกก็ตายไปนานแล้ว  ก็น่าตายอยู่แระ ผมเองก็ ๕๔ แล้ว ถ้าไม่ตายป่านี้ก็คง ๙๐ ปี

เพลงเพลิน พรมแดน มีเยอะครับเยอะมากๆพอๆกับเพลงไวพจน์ เพชรสุพรรณ  แต่พึ่งมาดังมากๆเมื่อมาเริ่ม ออกเพลงพูดแบบแทรกตลก     แต่หากคนฟังเพลงจริงลองเงี่ยหูฟังแบล็คกราวด์   มีเพลงซิมโฟนี่ชั้นสูง เด่นๆก็เยอะครับ พอช่วงหลังแต่ก็นานมาแล้ว อจ,เพลิน ก็สร้างหนังเรื่องนึง ชื่อ แค้นไอ้เพลิน เห็นมีป้ายคัดเอาท์ใหญ่ๆอยู่ทั่ว น่าจะขาดทุนหลายล้าน

เพลงสมัยก่อนมีข้อเสียคือ ระบบอัดเสียงยังไม่ดี เทคโนโลยียังไม่พัฒนา เวลาเอามาฟฟังสมัยนี้แล้ว ยังไงไม่รู้ มันไมม่เคลียร์ ไม่ขัด   ทั้งที่เรื่องพลังเสียงและเอกลักษณ์เฉพาะตัวมีมาก  ยกตัวอย่างเช่น รุ่งเพชร แหลมสิงห์บุปผา สายชล  ก้าน แก้วสุพรรณ  ดาว บ้านดอน   เย็นจิตร พรเทวี และ ฯลฯ ที่กล่าวมานี้เป็นนักร้องที่เสียงดีสุดยอด

ดูส่วนที่ลอกมาจาก http://www.oknation.net/blog/countryman/2007/11/26/entry-1 ไปก่อนนะครับ นึกออกแล้วจะมาเขียนต่อ...
 -----------------------------------------------------------------------------------------------------------
สมส่วน พรหมสว่าง หรือ เพลิน พรหมแดน เกิดเมื่อ 12 มิถุนายน 2482 มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านกิโลสอง อ. อรัญประเทศ จ.ปราจีนบุรี (ปัจจุบันขึ้นอยู่กับ จ.สระแก้ว ) เป็นบุตรของนายปลื้ม และนางตุ่น พรหมสว่าง มีอาชีพทำนา และฐานะยากจน มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 8 คน เพลิน พรหมแดน เป็นคนที่ 5

เริ่มศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนศรีอรัญโญทัย หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษา (ชั้น ป.4 )แล้ว ได้ช่วยพ่อแม่ทำนาอยู่ระยะหนึ่ง แต่เกิดป่วยเป็นเยื่อหุ้มปอดอักเสบตอนอายุ 15 ปี ทำให้ต้องเข้ามารักษาตัวที่เมืองหลวง โดยอาศัยข้าววัดของวัดเศวตฉัตรกิน พอรักษาหาย ก็เลยบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดนี้จนสอบได้นักธรรมโท


การที่เขาอยากเป็นมหาเปรียญอย่างมาก ทำให้มุท่องหนังสือหามรุ่งหามค่ำอย่างหนักจนป่วย หมอที่รักษาได้พูดกับเขาเล่นๆว่า อย่าดูตำรามาก สึกออกไปร้องรำทำเพลงบ้างก็ได้ เขาก็เลยสึกออกมาในปี 2500 จากนั้น ก็มาเรียนตัดเย็บเสื้อผ้าที่วัดสุทัศน์ เพราะอยากตัดเสื้อผ้าใส่เล่นเท่ๆ แต่เมื่อเรียนเสร็จ เพราะความจนทำให้ไม่ได้เป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้า เพราะไม่มีเงินซื้อจักรเย็บเสื้อผ้า

เนื่องจากเป็นผู้มีนิสัยชอบการร้องเพลง ประมาณปี 2504 เพลิน พรหมแดน ก็ไปช่วยร้องเพลงรำวงในคณะรำวงตาเหมือนเวลามีงานกินเลี้ยง มีรายได้คืนละ 30-40 บาท กับได้รางวัลอีก 5 บาท 10 บาท

วันหนึ่งขณะไปร้องเพลงแถวบุรีรัมย์ เจอ ตชด.คนหนึ่งมาร้องเพลงด้วย และชมว่าเสียงดี ทำไมไม่ไปประกวดร้องเพลง เพลินก็เลยตัดสินใจเข้ามาประกวดร้องเพลงตามงานวัดอยู่ 2 ครั้ง ปรากฏว่าไม่ได้รางวัลอะไรกลับมา

ต่อมาในปี 2503 เมื่อสถานีวิทยุยานเกราะประกาศรับสมัครประกวดร้องเพลงในรายการ ค้นหาดาวรุ่ง ของจำรัส วิภาตะวัธ  เพลิน พรหมแดน ก็ได้สมัครเข้าแข่งขัน และได้รับรางวัลชนะเลิศ ทำให้ได้ก้าวเข้าสู่วงการดนตรีโดยเข้ามาอยู่สังกัดวงชุมนุมศิลปินของจำรัส  ซึ่งตอนนั้นก็มี สมศรี ม่วงศรเขียว , นิยม มารยาท , คำรณ สัมบุณณานนท์ , วงจันทร์ ไพโรจน์ และ เบญจมินทร์ เป็นนักร้องหลัก ตอนแรก เพลิน พรหมแดน ก็ทำหน้าที่แบกกลอง เช็ดรถ และคอยช่วยเหลือหัวหน้าวงอยู่ที่บ้านหัวหน้าแถวบางรัก ตอนนั้นเขาอายุราว 21 กำลังเป็นหนุ่มพอดี

เพลิน พรหมแดน ได้บันทึกเสียงครั้งแรกในปี 2504 ชื่อเพลง ทุ่งร้างนางลืม แต่งโดย นิยม มารยาท งานนี้ สมส่วน พรหมสว่าง ก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นเพลิน พรหมแดน จากการตั้งให้ของจำรัส วิภาตวัต ที่ให้เหตุผลว่าเขาเป็นคนมาจากเขตชายแดน แต่เพลิน พรหมแดน ก็ยังไม่ดังในทันที และไม่มีโอกาสบันทึกเพลงใหม่เพิ่มเติมอีกเลย ต่อมามีผู้ฝากให้ทำงานในโรงงานยาสระผมแฟซ่าแถวถนนรองเมือง ทำให้เบี้ยวงานในวงอยู่บ่อยครั้ง

ต่อมาจำรัสขอให้เขาลาออกจากบริษัท เพื่อเตรียมตัวบันทึกเสียงเพลงที่ 2 ซึ่งเพลินก็ทำตาม พร้อมกันนั้นก็หัดเป็นโฆษกรายการวิทยุ และเล่นละครวิทยุไปด้วย ก่อนที่จะได้เป็นโฆษกเต็มตัวในเวลาต่อมา 

ต่อมาเขาได้บันทึกเสียงเพลงที่ 2 ชื่อวาสนายาจก ซึ่งเป็นเพลงที่เขาหัดแต่งเอง บันทึกเสียงเอง และขายเอง ซึ่งก็ประ สบความสำเร็จอย่างมาก (แต่ข้อมูลบางส่วนบอกว่า เพลงนี้อยู่ภายใต้การทำงานของจำรัส และทำให้เพลินแค่พอมีคนรู้จักมากขึ้นเท่านั้น หลังจากน้นจำรัสก็หมดทุน เพลินเลยรวบรวมเงินเพื่อทำเพลงที่เขาเขียนเองอีก 3 เพลง หนึ่งในนั้นก็คือบุญพี่ที่น้องรัก ซึ่งเพลงนี้ทำให้เขาโด่งดังอย่างมาก )

ในปี 2507 เมื่อจำรัส เลิกทำวง เพื่อหันไปทำวิทยุอย่างเดียว ก็ได้ยกวงให้เพลินไปทำต่อ วงของเพลินเปิดการแสดงครั้งแรกที่ สทร.ท่าช้าง ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของสถานีวิทยุ ปชส.7 ในด้านการแสดงของวงดนตรีลูกทุ่งในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์  และก็ปรากฏว่าวงของเพลินประสบความสำเร็จอย่างมาก

ในปี 25212 ขณะที่กำลังดังอย่างสุดๆ เพลินก็ประกาศยุบวง เพราะรำคาญที่ลูกวงไม่มีระเบียบวินัย หลังจากที่ลูกวงกระจัดกระจายกันไปหมดแล้ว เพลิน พรหมแดนก็ตั้งวงขึ้นมาใหม่

ในระยะแรกๆ เขาร้องเพลงลูกทุ่งแนวทั่วไป แต่แนวเพลงที่ทำให้ประสบความสำเร็จสูงสุด กลับเป็นเพลงที่มีเนื้อร้องและคำพูดในแนวตลกสนุกสนาน ผิดกับนิสัยเงียบขรึม สงบเงียบของเขา จนทำให้ได้รับสมญานามว่า ราชาเพลงพูด เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อ เขาได้เล่นหนังเรื่องฝนใต้ ของบางกอกภาพยนตร์ และสงเคราะห์ สมัตถภาพงศ์ แต่งเพลง สมัครด่วน เพื่อใช้ประกอบภาพยนตร์ ซึ่งเป็นเพลงที่ร้องสลับพูด ปรากฏว่าทั้งหนังและเพลงขายดี ทำให้เขาได้แสดงภาพยนตร์ต่ออีกหลายเรื่อง พอปี 2515 ก็ได้เพลงข่าวสดๆ และเพลงในแนวนี้ตามมาอีกมาก ซึ่งเพลงในแนวนี้ที่ดังก็คือ คึกฤทธิ์คิดลึก กับ อาตี๋สักมังกร

เพลิน พรหมแดน ยังได้รับการยกย่องร่วมกับ ศกุนตลา ศรีภรรยาว่าเป็นต้นแบบในการทำหางเครื่องหรูหราอลังการสำหรับวงดนตรีลูกทุ่งอีกด้วย โดยในปี 2512 เมื่อวงการลูกทุ่งเริ่มซา เพลิน พรหมแดน ที่แต่งงานกับศกุนตลา สาวหนองคายที่เคยไปเรียนภาษาฝรั่งเศสที่เวียงจันทน์ และได้ดูการเต้นจากต่างประเทศสวยๆ ได้เริ่มปรับปรุงรูปแบบวงดนตรีของเขาจนเป็นวงแรกที่หางเครื่องเป็นกิจจลักษณะ มีชุดที่ประดับด้วยขนไก่อลังการ ทำให้วงการกลับมาตื่นเต้นอีกครั้ง

นอกจากมีหางเครื่องทันสมัย วงเพลิน พรหมแดน ยังเป็นจุดเริ่มต้นของตลกชื่อดังมากมายเช่น เพชร ดาราฉาย , จุ๋มจิ๋ม เข็มเล็ก , เด่น ดอกประดู่ , เทพ โพธิ์งาม , น้อย โพธิ์งาม , แดน บุรีรัมย์ , ดู๋ ดอกกระโดน , เพชร โพธิ์ทอง และ ดี๋ดอกมะดัน

เพลิน พรหมแดน เป็นคนที่รักษาสุขภาพได้ดีมาก ทำให้แม้จะมีอายุมาก แต่สุขภาพ รูปร่างหน้าตา ร่างกายยังแข็งแรง และดูหนุ่มแน่น ทั้งเขายังรักษาพลังเสียงได้เป็นอย่างดี เพราะไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เขาบอกเพียงว่าทำจิตใจให้สบายๆ ไม่เครียด และถ้าฝึกนั่งสมาธิได้ด้วยก็จะยิ่งดี เพราะสิ่งเหล่านี้คือ "ยา" ขนานวิเศษที่ไม่ต้องเสียเงินเสียทองไปซื้อหาที่ไหน

ปัจจุบันเพลิน ยังรับงานเดินสายร้องเพลงตามปกติ โดยมีลูกคู่ 1 คนทำหน้าที่โต้ตอบตอนร้องเพลงพูด และทำเพลงเกี่ยวกับพุทธประวัติ ชื่อ ชุด "พระพุทธประวัติ ชีวประวัติของพระพุทธเจ้า " ซึ่งจะมีทั้งหมด 9 ชุดเป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพาน เพลินได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้มาจากหนังสือ "ปฐมโกฏิ" และอีกหลายๆ เล่มมานานหลายปี โดยจุดมุ่งหมายของเรื่องนี้ก็เพื่อที่จะได้นำชีวประวัติที่สมบูรณ์ของพระพุทธเจ้า มาร้อยเรียงเป็นบทเพลงและใส่ทำนองที่แตกต่างกันไป

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ศิลปดนตรี

ศิลป ดนตรี บทกวี  ความสุนทรีย์ของมวลมนุษย์ชาติ ที่มีมาช้านานตั้งแต่มีการบันทึกเรื่องราว แต่มาหลังๆนี่เราอาจเห็นช้างวาดรูป เห็นลิงเป่าปี่ จะเป็นเรื่องที่สัตว์ต้องการหรือไม่ก็ไม่รู้ หรืออาจเป็นแค่เรื่องราวของมนุษย์เท่านั้น



หงา คาราวาน
แรกๆผมไม่ได้ชอบฟังเพลงพี่เขาหรอกโดยเฉพาะชุดแรก เพราะผมไม่ค่อยสนใจเรื่องการเมืองเรื่องการต่อสู้กับเผด็จการเท่าไหร่เห็นว่าแกออกแนวเป็น คอมมิวนิตส์ตามข่าวนะเพราะสมัยนั้นยังฟังความข้างเดียวอยู่การรับรู้ข่าวสารสมัยนั้นยังเป็นเรื่องยากอยู่
                                  อ่านต่อ




Jeff Beck &Tal Wilkenfeld
เจฟเบ็คค์ นี่ผมเคยซื้อเทป ม้วนหนึ่ง ชอบฟังเสียงกีตาร์ของแกจะเล่นเสียงได้แปลกๆ มันส์และไพเราะ จะเล่นแจมกับเบสและกลองได้อารมณ์ดี  ช่วงหลังมีเด็กสาว ชื่อ วินเค็ลเฟ็ลมาแจมเบสเลยดูด้วยดูน่ารัก เข้าไปอีก
                  ดูต่อ

วงซูซู สมบัติ สิมหล้า หมอแคนเทวดา เพลิน พรมแดน
BANANA1 สรวง สันติ ทองใส ทับถนน
บทกลอน บทกวี JACK2 JACK3
JACK1                             JACK2                      JACK3                  

begin.blues harmoni.                    basic harmonica                         sound like a train
solo the harmonica BANANA2 BANANA3



นกบินหลาดง

นกบินหลาดง เป็นนกที่ผมเคยเห็นครั้งแรกที่ บนควน ต. บ้านตาชี อ.ยะหา จ.ยะลา สมัยที่ยังเรียนที่เทคนิคยะลา  ไปเที่ยวบ้านพี่เขยที่บ้านอยู่บนควนหรือเนินเขา   มีต้นไม้ สวนผลไม้เยอะ มีนกมีหมูป่าและสิงสาราสัตว์หลายชนิด  นกบินหลาดงเป็นนกที่ไม่เคยเห็นมากอน   ส่วนมากจะหาดูยากไม่เหมือนนกกางเขนบ้านที่พบเห็นอยู่ทั่วไป



ลักษณะ : นกกางเขนดง เป็นนกที่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติอย่างใกล้ชิดกับนกกางเขนบ้านที่เรารู้จักกันดี ต่างกันที่นกกางเขนดงมีสีสันบริเวณท้องที่สดใสกว่า คือไม่เป็นสีขาวอย่างกางเขนบ้าน แต่เป็นสีแดงอมน้ำตาลสดใส และมีหางยาวกว่าปีกมาก

ตัวผู้ : มีหัว คอ หน้าอก หลัง ไหล่ เป็นสีดำเหลือบน้ำเงิน ตัดกับตะโพก และขนคลุมบนโคนหาง ซึ่งเป็นสีขาวบริสุทธิ์ จนเห็นได้ชัดเจน ขนกลางปีกเป็นสีดำด้านๆ ขนหาง 2 คู่ล่างสุดมีสีขาวปลอดทั้งเส้น ส่วนล่างของลำตัวถัดจากหน้าอกลงมาจนถึงท้อง และขนคลุมใต้โคนหางเป็นสีน้ำตาลแกมแดง นกชนิดนี้จึงมีสีตัดกันถึง 3 สี คือ สีดำ ขาว และน้ำตาลแกมแดง ม่านตาสีน้ำตาลเข้ม ปากมีสีดำสนิท แต่ขา นิ้วเท้า และเล็บ มีสีเนื้อจางๆ



       ดีจังมีคนเอาภาพตัดต่อผมไปอัปคลิป แสดงว่าฝีมือดีใช้ได้ครับ

ขณะนี้ทางสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทยเปิดโอกาสให้ส่งหนังสั้นเข้าประกวดในหัวข้อ“รักนกให้ถูกทาง” ผู้อ่านท่านใดสนใจสามารถดูรายละเอียดได้ที่เวบไซท์ http://www.bcst.or.th/                            
     


ตัวเมีย  มีหางสั้นกว่าตัวผู้ หัวคอ หน้าอก หลัง และขนปกคลุมปีกเป็นเทาคล้ำๆ แต่บริเวณกระหม่อมและหลังไหล่ อาจมีเหลือบเป็นมันบ้างเล็กน้อย ขนกลาง ปีก ขนปลายปีกรวมทั้งขนหาง 2 คู่บน ก็เป็นสีเทาคล้ำๆ ขนหาง 2 คู่ ถัดลงไปมีสีเทาคล้ำๆ เฉพาะทางครึ่งโคน แต่ครึ่งปลายมีสีขาว ขนหาง 2 คู่ล่างสุด มีสีขาวปรอดทั้งเส้น ตะโพก และขนคลุมบนโคนหาง มีสีขาว เช่นกัน


ส่วนล่างของลำตัวที่เหลือเป็นสีส้มอมน้ำตาล ม่านตาสีน้ำตาลเข้ม ขา นิ้วเท้า และเล็บ มีสีเนื้อจางๆ เช่นเดียวกับตัวผู้การที่คนพานกกางเขนดงไปอยู่ผิดที่ผิดทางไม่เพียงทำให้มันลดลงในเอเชียใต้ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของมัน แต่เมื่อมันหลุดกรงและสามารถแพร่พันธุ์ได้เองนอกกรงเลี้ยงในที่ที่มันไม่เคยมีอยู่ตามธรรมชาติ   นกชนิดนี้ก็สร้างผลเสียต่อระบบนิเวศได้เช่นกัน 

โดยเฉพาะแมลงเฉพาะถิ่นหลายชนิดในไต้หวันลดจำนวนลง จนน่าใจหาย   นกเจ้าถิ่นถูกคุกคามด้วยอุปนิสัยก้าวร้าวของนกกางเขนดง นอกจากนี้ประชากรนกยังเพิ่มขึ้น   จนกลายเป็นสัตว์ต่างถิ่นที่พบชุกชุมในฮาวาย


บินหลาดงเป็นนกที่เลียนเสียงนกอื่นๆได้หลายเสียง   หากมีนกเขาอยู่ใกล้ๆมันก็จะร้องเสียงนกเขา หากมีไก่ที่บ้านขันมันก็จะขันเลียนเสียงไก่ ฟังดูแล้วก็ตลกดี   เสียงไก่ตัวนี้ทำไมเสียงขันมันดังแปลกๆ 

นกกางเขนดงมีลักษณะเด่นคือตะโพกสีขาว   เป็นนกที่ค่อนข้างขี้อาย     มักส่งเสียงร้องในช่วงเช้าตรู่และพลบค่ำ ตัวเมียมีหางสั้นและสีสันโดยรวมจางกว่าตัวผู้ ยังคงพบได้บ่อยในป่าหลายประเภท โดยเฉพาะป่าไผ่ เมื่อนกทางภาคใต้เริ่มหาได้ยากขึ้น  นกทางภาคอื่นๆก็เริ่มถูกจับมาขายจนลดจำนวนลงไปด้วย 

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

หมอแคนเทวดา

      สมบัติ สิมหล้า  .. หมอแคนเทวดา
แคน เครื่องดนตรีพื้นถิ่นที่ว่ากันว่าสร้างขึ้นเลียนเสียงของนกการเวก เสียงแคนเป็นความมหัศจรรย์แห่งแผ่นดินอีสาน เช่นเดียวกับเป็นมหัศจรรย์แห่งชีวิตของชายตาบอด


จากคำกล่าว "สมบัติเอ๋ย พ่อสิหัดแคนให้เจ้า..." ยิ่งกว่าของเล่นถูกใจชิ้นใดๆ สำหรับ สมบัติ สิมหล้า แคนใหญ่สิบหกลูกของพ่อเต้านั้น แทบจะสูงท่วมหัวเด็กชายผอมบางวัย 6 ขวบ เสียงของมันยามที่พ่อเป่าให้ฟัง ไม่เพียงไพเราะราวกับเสียงนกการเวก หากแต่ยังทำให้ความคิดหวังของเด็กชายในโลกมืดคนหนึ่งเพริดไปไกลเสียจากใต้ถุนเรือน
       
เด็กชายสมบัติเกิดมามีกรรมหนัก เป็นน้องคนสุดท้องที่ไม่ได้ตาพิการมาแต่กำเนิด หากแต่เรื่องราวของเขาฟังว่าเมื่อแรกคลอดออกมา หมอตำแยเอายาผิดชนิดมาหยอดตาทารกน้อย จนติดเชื้อ และทำให้บอดสนิทเสียตั้งแต่ยังไม่รู้ความ แต่เด็กชายมิใช่เด็กมีปมด้อย ตรงกันข้าม ยังร่าเริง ช่างคิด แม้ไม่อาจออกไปวิ่งเล่นในทุ่งกับพี่น้อง

ทุกวันเขาจะนั่งเคาะจังหวะเพลงกับกลองปี๊บหรือพื้นกระดานไปตามเรื่อง แต่ที่ชอบที่สุดเห็นจะเป็นแคนน้อยหกลูกที่พ่อหามาให้เล่นตอนอายุได้สามขวบ "พอเป่าแคนได้ หลังจากนั้นปีกว่าๆ ป้าของผมก็มาขอกับแม่พาผมไปขอทาน… พ่อไม่อยากให้ไป แกอายคน ฐานะก็มีกิน ยังปล่อยให้ลูกไปขอทาน แกห้ามทุกครั้งแต่ผมไม่ฟัง" สำหรับเด็กชายที่มีชีวิตอยู่ใต้ถุนเรือน การออกไปขอทานคือวิธีเดียวที่เขาได้ออกไปเผชิญโลก แรกๆ ก็เดินเป่าแคนอยู่ในตลาดบรบือ เริ่มออกไปต่างอำเภอ และถูกพาไปไกลขึ้นเรื่อยๆ    

การไปขออาศัยนอนตามโรงพัก นอนตามท่ารถ ผจญยุงกัดจนไม่เป็นอันหลับอันนอน ไม่ได้ทำให้เขาหมดสนุก ป้าพาเด็กชายตระเวนขอทานไปทั่วภาคอีสาน พาไปไกลถึงจังหวัดสมุทรปราการ ตะลอนขอทานอยู่หลายปีจนอายุได้สิบเอ็ดขวบ จากที่เคยไปสามสี่วัน กลายเป็นสิบวัน ไปนานเป็นแรมเดือน แต่เด็กชายไม่เคยร้องไห้กลับบ้าน    เขาจำได้ว่าเคยหอบเงินเหรียญเป็นถุงๆ ไปแลกเป็นใบกับตามร้านค้า มันหนักจนแทบอุ้มไม่ไหว ได้เงินร่วมๆ หมื่นบาท วันหนึ่งขณะเดินขอทานอยู่ที่มหาสารคาม แคนของเขาไปสะดุดหูหมอลำกลอนคนดังในท้องถิ่น หมอแคนวัยสิบเอ็ดจึงได้ย้ายไปอยู่กับ คำพัน ฝนแสนห่า ที่อำเภอชุมพวง นานถึงห้าปี เป็นหมอแคนค่าตัวไม่กี่บาทจนได้มากถึงคืนละ 500 บาท
             
       ** ลองฟังดูยอดฝีมือทั้งสองท่านข้างล่างนี้ดูครับ ผมว่าคนที่ใจรักดนตรีต้องชอบทุกคน

         

  แทบจะกลายเป็นหมอแคนคู่บารมีเลยทีเดียว แต่ต่อมาเขาอยากรู้ฝีมือจึงออกไปขึ้นเวทีประชันแคน โดยในห้วงเวลานั้น สมบัติพอมีงานเป่าแคนบันทึกเสียงให้กับหมอลำมีชื่อที่ห้องอัดเสียงสยามที่ขอนแก่นอยู่บ้าง และด้วยเหตุนี้เองที่ครั้งหนึ่งชื่อของเขาถูกแนะนำไปถึง ไตรภพ ลิมปพัทธ์ พิธีกรชื่อดังเจ้าของรายการทไวไลต์โชว์ และถูกเชิญไปออกรายการ กลายเป็นหมอแคนตาบอดคนแรกที่ได้ออกทีวี มีคนเห็นกันทั่วเมือง กลายเป็นคนดังของอำเภอบรบือไปในชั่วข้ามคื         สมบัติมีโอกาสไปออกรายการทไวไลต์โชว์อีกครั้งในหลายปีต่อมา เคยได้เป่าแคนออกโทรทัศน์บนเวทีเดียวกับนักดนตรีเพื่อชีวิตระดับตำนาน สุรชัย จันทิมาธร โดยที่ไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน แต่ที่ทำให้พัฒนาการทางดนตรีของ สมบัติ สิมหล้า ก้าวขึ้นไปสู่ระดับสากล คงเป็นช่วงชีวิตที่ได้ไปเป็นส่วนหนึ่งของ "วงฟองน้ำ" ที่ก่อตั้งโดยครูบุญยงค์ เกตุคง และอาจารย์บรูซ แกสตัน ซ้ำอีกเจ็ดปีต่อมาก็ยังมีโอกาสได้พบกับอาจารย์สนอง คลังพระศรี ที่ชักชวนให้มาเป็นอาจารย์พิเศษสอนการเป่าแคนให้กับวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงโอกาสร่วมเล่นกับ "วงไทยแลนด์ ฟีลฮาร์โมนิก ออร์เคสตรา" หรือ TPO วงออร์เคสตราที่มีนักดนตรีเป็นคณาจารย์ และนักศึกษาของวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ที่อำนวยการวงโดยอาจารย์สุกรี เจริญสุข ผู้อำนวยการวิทยาลัยฯ นั่นเอง ขณะเดียวกันหลายครั้งยังได้ร่วมเล่นกับ "วง Dr.Sax Chamber Orchestra" ของ ดร.สุกรี อีกด้วย ทำให้ สมบัติ ในฐานะนักดนตรีเอกผู้เชี่ยวชาญด้านแคน ได้รับเชิญไปแสดงในต่างประเทศ ทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกา และหลายประเทศในเอเชีย ทุกวันนี้สมบัติ สิมหล้า กลับมาที่บ้านวังไฮ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคามบ้านเกิด ครอบครัวเล็กๆ ของเขามีภรรยา และลูกสาวอีกคนที่พ่อกำลังมุ่งมั่นหัดแคนให้ เป็นครูแคนที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย รวมไปถึง อดิศร เพียงเกษ นายกสมาคมหมอแคนแห่งประเทศไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็มาหัด เต้ยโขง กับเขา ขณะเดียวกันก็เป็นอาจารย์พิเศษให้กับมหาวิทยาลัยหลายแห่งในภาคอีสาน และรับงานเป็นหมอแคนให้กับหมอลำกลอนพื้นบ้านตามแต่จะว่าหา "อย่าไปน้อยใจ ท้อแท้ใจ คนเราถ้ายังไม่หมดลมหายใจ ก็อย่าไปท้อ ผมเกิดมายังไม่ทันได้เห็นอะไร ตาก็บอดเสียแล้ว แต่ผมก็ไม่เคยท้อ ยิ่งท้อยิ่งทำให้อายุสั้น" ซึ่งไม่เพียงไม่ท้อแท้ สมบัติยังมองโลกในแง่ดี ในโลกที่มีเพียงสีดำของเขาใบนี้ มีเสียงหวานอ้อยส้อย เร่งกระชั้น ระริกไหวไปกับบทขับของลำกลอน เป็นสีสันแห่งชีวิต และได้นำเอาสิ่งดีงามมามอบให้

                           
            ส่วนล่างนี้  คัดจากบางตอน จากเวป..มหาหมอดูดอทคอม            
สมบัติ สิมหล้า หมอแคนระดับเทพเจ้า เขาคือเทพแห่งแคนจริงๆ และที่สำคัญคือ เขา...ไ ม่ มี ต า ครับ ตาเขาบอดทั้งสองข้าง ความที่เก่งกล้าสามารถในเรื่องแคน ถึงขนาดที่ อาจารย์บรูซ แกสตัน ต้องขอทำความรู้จัก แต่ก่อนไม่มีใครรู้จัก สมบัติ สิมหล้า อยู่ๆ เมื่อ ประมาณปี พ.ศ. 2518--2520 (ไม่แน่ใจ) มีเพลงลูกทุ่งเพลงหนึ่งโด่งดังทะลุฟ้าเมืองไทย และสร้างความตื่นตะลึงในหมู่คนฟังมากจากการขับร้องของ ศรชัย เมฆวิเชียร ในเพลง "เสียงซอสั่งสาว"

ที่ว่าพิเศษจนคนตื่นตะลึงก็เพราะเสียงซอสั่งสาว เป็นเพลงที่ขึ้นอินโทรโดยใช้การโซโลเดี่ยวซอล้วนๆ ยาวประมาณ 20 วินาที.. มันไพเราะมากๆ มากจนผู้คนไต่ถามว่า มันผู้ใด๋กันที่เดี่ยวซอได้คักถึกใจขนาดนี้ คำเฉลยคือ.. สมบัติ สิมหล้า เป็นบุคคลผู้นั้นครับ ตั้งแต่นั้นมา ชื่อ สมบัติ สิมหล้า ก็ดังยิ่งกว่า ศรชัย เมฆวิเชียร เสียอีกครับท่านผู้ชม หลังจากนั้น อาจารย์บรูซ ก็ไปตามหาตัวดึงมาเล่นวงฟองน้ำด้วยกันที่นี้ยิ่งไปกันใหญ่เลย มารับรู้กันกว้างขวางยิ่งขึ้นว่า สมบัติ เล่นดนตรีอิสานได้เก่งเฉียบขาดแทบทุกชิ้นรวมทั้งการเป็นเซียนแคนที่สามารถอีกด้วย นายสมบัติ สิมหล้า เกิดเมื่อวันจันทร์ ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2506 เป็นบุตรของคุณพ่อโป่ง คุณแม่บุดดี สิมหล้า ซึ่งคุณพ่อเป็นหมอแคน คุณแม่เป็นหมอลำกลอน ปัจจุบันพำนักที่ บ้านเลขที่ 22 หมู่ที่ 8 บ้านวังไฮ ต.วังใหม่ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม โทร.(043) 727184    
เมื่อแรกเกิดดวงตาของ สมบัติ สิมหล้า แฉะ หมอตำแยจะทำการหยอดตาให้แต่ใช้ยาผิดโดยเอายาที่ใช้เช็ดสะดือมาหยอดตา จากการที่ใช้ยาผิดจึงเป็นสาเหตุทำให้ดวงตาของสมบัติ สิมหล้า เริ่มมืดและมองไม่เห็นในที่สุด             ประวัติการศึกษา ศึกษาอักษรเบลล์ จากโรงเรียนคนพิการปากเกร็ดนนทบุรี เป็นเวลา 3 เดือน ได้เริ่มฝึกหัดเป่าแคนตั้งแต่อายุได้ 6 ขวบ พ่อชื้อแคนมาให้เป่า หวังจะให้มีลูกมีอาชีพเป็นหมอแคนในอนาคต ทั้งที่ตอนแรกสมบัติยังไม่รักที่จะเป่าแคนเลย เมื่อได้รับการฝึกฝนทักษะจากผู้เป็นบิดาที่มีอาชีพเป็นหมอแคน ก็สามารถเป่าแคนให้กับหมอลำกลอนเมื่ออายุได้ 14 ปี โดยเป่าแคนให้หมอลำบัวผัน ดาวคะนอง, หมอลำคำพัน ฝนแสนห่า, หมอลำวิรัติ ม้าย่อง โดยได้รับค่าตอบแทนในตอนนั้นเป็นจำนวนเงิน 500 บาท และได้ยึดอาชีพหมอแคนมาจนถึงปัจจุบัน  
         
          
         
       ผลงาน     
ร่วมบรรเลงในวงแคนอีสาน ของวิทยาลัยครูมหาสารคาม เพื่อทำการบันทึกเสียง เป็นวิทยากรให้กับสถานศึกษาต่างๆ เช่น คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ร.ร.บรบือวิทยาคาร ร่วมแสดงกับวงดนตรี เช่น วงฟองน้ำ, หงา คาราวาน, สนธิ สมมาตร , สายันต์ สัญญา ฯลฯ ได้รับเชิญจากรายการ ทไวไลท์โชว์ ในช่วง ทอล์คโชว์    
         
ร่วมบรรเลงแคนประยุกต์กับดนตรีรูปแบบต่างๆ ในรายการ คุณพระช่วย บันทึกเทป เดี่ยวแคน บริษัทชัวร์ ออดิโอ สอนเป่าแคนให้แก่ ประชาชน และผู้สนใจทั่วไป ในเวลาว่าง สถานภาพครอบครัว สมรสแล้วกับ นางนิว สิมหล้า (นิว ทึนหาญ) และมีบุตรสาว 1 คน ชื่อ เด็กหญิง สุพัตรา สิมหล้า ปัจจุบันอายุ 4 ขวบ

สรวง สันติ

มีนักร้องคนหนึ่งในสมัยก่อนโน้นที่ผมชอบมากๆ คือชอบบทเพลง ชอบลีลา ชอบแบบบ้าๆดิบๆของแก ตอนนั้นไม่รู้ผมเรียนชั้นไหน  สมัยที่ยังเรียนอยู่ที่ จ.ยะลา นานมาแล้ว สรวงสันติ ไปเล่นที่ห้องส่งสถานีฯวิทยุ วปถ 5 ที่จังหวัดยะลา ไม่พลาดครับผมไปดู เดินไปคนเดียวอยากจะไปดูน้าสรวงสุดยอดในดวงใจ สตริงแนวอันเดอร์กราวด์ ร็อคใต้ดินหรือแนวอะไรไม่รู้ มันนานมาแล้วแกมักจะใส่กางเกงแดงเสื้อแดง (ไม่เกี่ยวข้องใดๆกับ นปช.) เข็มขัดและหมวกจะเป็นสีเดียวกัน ไม่แน่ใจว่าขาวหรือดำ

แต่โดยแท้จริงแล้วผมจะชอบบุคลิกส่วนตัว
เพลงสมัยนั้นดังๆ    หลายเพลงที่ผมชอบคือ
น้ำมันแพง , เมียตัวอย่าง และอีกหลายเพลงมากกว่า (ชอบแบบ บ้าๆ บอๆ ดิบๆ แต่เก่ง) นานมาหลายปีจนถึงวันที่น้าแกเสียชีวิตถึงได้รู้ว่าแกเป็นอัจฉริยะ เป็นนักแต่งเพลงที่แต่งได้ไพเราะเพราะพริ้ง แต่จะให้คนอื่นร้องจนโด่งดัง ส่วนตัวน้าเองเลือกเอาแต่ที่สนุกมันส์ฮา ไปดูประวัติจากเว็ปที่ลอกมาครับ


สรวง สันติ ถือว่าเป็นตำนานบทหนึ่งของวงการลูกทุ่งเมืองไทย ได้ชื่อว่าเป็นนักแต่งเพลงอัจฉริยะคนหนึ่งของวงการ เป็นลูกทุ่ง underground รุ่นแรกของเมืองไทยสรวง สันติ มีชื่อจริงว่า จำนงค์ เป็นสุข เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 5 มิ.ย. 2488 ที่บ้านเลขที่ 8 หมู่ 5 ต.บ้านไร่ อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย บิดาชื่อนายสุ่ม มารดาชื่อนางจำรัส เป็นสุข เป็นลูกคนที่ 3 ในจำนวน 4 คน จบการศึกษาชั้น ม.6 จากโรงเรียนการช่างสุโขทัย ก่อนเข้าสู่วงการเพลง เคยชกมวยมาก่อน โดยใช้ชื่อว่า เกรียงศักดิ์ เทพบดี

J
                 


เมื่อปี 2505 ครูพิพัฒน์ บริบูรณ์ ได้นำวงไปทำการแสดงที่ จ.สุโขทัย ก็จึงลองไปสมัครดู ครูพิพัฒน์ได้ฟังเสียงก็รับเข้าอยู่ประจำวง และให้บันทึกเสียงเพลงชุดแรก คือ "มดแดงเฝ้ามะม่วง”และ “ลุงฉิ่ง” โดยตั้งชื่อให้ว่า “ดาว มรกต” แต่ไม่ดัง

เขาอยู่กับวงพิพัฒน์ บริบูรณ์ได้ 2 ปี ก็ลาออก พร้อมกับ นฤมล สมสมร หรือ น้ำผึ้ง บริบูรณ์ นักร้องสาวประจำวง ซึ่งได้รู้จักชอบพอจนเป็นแฟนกัน ต่อมาได้ไปสมัครอยู่กับวงกระดิ่งทอง ของศรีไพร ใจพระ โดยมีเพื่อนแท้อย่างแดนชัย สนธยา คอยให้ความช่วยเหลือ

เขาอยู่กับศรีไพร ใจพระ ได้ไม่นานก็ลาออก และเมื่อ 24 มิถุนายน 2509 ก็ไปสมัครอยู่กับวงดนตรีจุฬารัตน์ของครูมงคล อมาตยกุล






จากข้อเขียนของ ครูมงคล อมาตยกุล ทำให้เราทราบว่าสรวง สันติเข้ามาอยู่กับวงดนตรีจุฬารัตน์ในฐานะนักแต่งเพลง ซึ่งมีเกียรติศักดิ์ มีศักดิ์ศรี มีวิชาความรู้ ได้รับการยกย่องมากกว่าการเป็นนักร้อง แต่เพราะความต้องการเป็นนักร้องของเขามีมากกว่า ใจเรียกร้อง ต้องการอยากเป็นนักร้องและมั่นใจว่าตนเองก็ร้องเพลงดูได้ จึงกล้าลดชั้นตนเองเข้าไปบอกกับครูมงคล ขอเป็นนักร้องมากกว่าจะเป็นนักแต่งเลยต้องเจอบททดสอบประมาณว่าต้องเป็นคนใหม่นะ ต้องแบกหามนะ ต้องวิ่งซื้อโอเลี้ยงนะ ต้องยอมรับใช้คนทั้งคณะ พวกรุ่นพี่ๆ ที่เขาอยู่มาก่อนนะ ซึ่งไม่ว่าจะต้องทำอะไร ความต้องการเป็นนักร้องของ สรวง สันติ ก็ทำให้เขาต้องยอมทุกอย่าง

ครูมงคลตั้งชื่อให้ใหม่ว่าสรวง สันติ และได้ออกร้องเพลงครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์ปัตตานี และต่อมาได้บันทึกเสียงสมใจและเพียงแค่ได้อัดแผ่นเสียงเพลงแรกเมื่อ 31 ส.ค.2509 เท่านั้น เพลงแฟนใครแฟนมัน ก็ได้รับความนิยมชมชอบจากแฟนเพลงทันที เพลงติดอันดับ 1 ถึง 3 สัปดาห์ ไม่นับอันดับอื่นๆ อีก

เพลงที่สองของ สรวง สันติ ที่ตามออกมาเมื่อไม่กี่วันก็คือเพลง ''รักเมียเสียเพื่อน'' ซึ่งเชื่อว่าเป็นเพลงที่ดีอีกเพลงหนึ่งแต่ไปๆมาเขาก็กลับไม่เกิดในฐานะนักร้องอีกนั่นแหละ เขาได้ร้อง แต่ไม่ค่อยมีผลงานสักเท่าไหร่ แต่กลับดังในฐานะนักแต่งเพลงมากกว่า โดยมีผลงานเพลงทั้งร้องเองและแต่งให้นักร้องอื่นร้องมากมาย เช่นแฟนใครแฟนมัน ,ไม่ใกล้ไม่ไกล ,มันบ่แน่หรอกนาย ที่เขาร้องเอง กับ สุขีเถิดที่รัก ที่แต่งให้พนม นพพร ร้อง  เขาอยู่กับวง “จุฬารัตน์” 6 ปี อยู่จนวงจุฬารัตน์ยุบวง ก็เลยออกมาตั้งวงเอง ชื่อวงเดอะบัฟฟาโล่

เดอะบัฟฟาโล่ เขามีชื่อเสียงในการนำดนตรีไซคีเดลิคและฮาร์ดร็อคไปใส่ในเพลงลูกทุ่งมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 แต่แม้จะร้องเพลงร็อค เขาก็ยังไม่ดัง แต่กลับดังเรื่องการเป็นร็อคเกอร์ คือเป็นนักดนตรีร็อคของไทยรุ่นแรก ๆ ที่เผาเสื้อ เผากีตาร์ เผากลอง ฟาดกีตาร์กับเวที เล่นจริง เผาจริง ฟาดจริง

เขาตั้งวงอยู่ได้ประมาณ 3 ปี ก็เลิก หันมาแต่งเพลงอย่างเดียว แต่คราวนี้กลับดังระเบิดเถิดเทิง เพลงไหนเพราะ ๆ หวาน ๆ ซึ้ง ๆ สรวงให้คนอื่นร้องหมด อันไหนดิบ อันไหนตลก สรวงร้องเอง และตอนกลับมาร้องลูกทุ่ง ก็ยังคงเผากีตาร์ เผากลองอยู่เหมือนเดิม แต่ก็ทำให้ดังกันไปทั้งคู่ โดยเฉพาะยุคหลัง ๆ ก่อนที่สรวงจะเสียชีวิต เขาประกาศศักดาในฝีมือด้วยการเขียนเพลงได้หลากหลายแนวกระทั่งเพลงลูกกรุงหรือเพลงสตริงก็ทำได้ดีเลิศ

เพลงที่ดังๆของในยุคนี้ที่เขาแต่งเองร้องเอง เช่น ผู้ยิ่งใหญ่ , น้ำมันแพง , 1-2-3 ด่วน 2 แถว ที่แต่งให้คนอื่นร้อง เช่น  สาว ต.จ.ว. ไพจิตร อักษรณรงค์ ร้อง รักสิบล้อต้องรอสิบโมง และสวยในซอย วงรอยัลสไปรท์ ร้อง ส่วนเกิน ดาวใจ ไพจิตร ร้อง สำหรับเพลงอื่นๆที่เขาแต่งก็มีเพลงหนุนของต่างแขน แต่งให้ พนม นพพร เพลงคอแห้งเป็นผง แต่งให้ประจวบ จำปาทอง เพลงด่วนจี๋ไปรษณีย์จ๋า แต่งให้ เสียงทิพย์ ปทุมทอง เพลงจองไว้ก่อน แต่งให้ แมน เนรมิต เพลงข้อยเว้าแม่นบ่ และเอาใจฉันตั้งแต่วันนี้ แต่งให้ นันทิดา แก้วบัวสาย และฯลฯ

สรวง สันติ เป็นคนเงียบขรึม รักเพื่อนฝูง ชอบใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ จึงมีเพลงที่ได้ผลิตออกมาจากมันสมองของเขาอยู่เรื่อยๆ เขาเป็นคนช่างคิดช่างฝัน มีอารมณ์ขันเป็นบางเวลา บางครั้งคนอื่นเขาขันกันแทบตาย แต่ สรวง สันติ ไม่ขันเลย อย่างนี้เขาเรียกว่า คนเส้นลึก บางเรื่องบางราว ใครๆ เขาขันและหัวเราะกันวันนี้ แต่ สรวง สันติ ไปหัวเราะเอาวันรุ่งขึ้นไม่ใช่อะไรดอกครับ เพราะความที่เป็นคนช่างคิดช่างฝันก็เลยทำให้กลายเป็นคนใจลอยไป

แต่เมื่อวันที่ 22 ม.ค.2525 เวลา 23.00 น.โดยประมาณ ขณะเดินทางไปจังหวัดปราจีนบุรี พร้อมกับหมอเอื้ออารีย์ หรือ วิรวด ปานเจริญ นักวิ่งเชียร์แผ่นเสียงที่มีชื่อเสียงขนาดต้องเรียกว่าเป็นระดับเจ้าพ่อ รวมถึง  ศักดิ์รินทร์ วัชระศักดิ์, และมีผู้หญิงอีก 1 คน เพื่อนำแผ่นของลูกศิษย์คนใหม่ คือ “ชิตณรงค์ ไผ่ทอง” ไปโปรโมท ระหว่างทางรถเก๋งที่ขับไปเกิดชนประสานงากับรถสิบล้อ ทำให้ “เอื้อ อารีย์” , ศักดิ์รินทร์ วัชรศักดิ์” และผู้หญิงที่นั่งไปด้วยเสียชีวิตคาที่ ส่วน “สรวง สันติ” ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ในวันรุ่งขึ้นคือ 23 ม.ค.2525 ท่ามกลางความเศร้าสลด เสียดาย และอาลัยอาวรของญาติพี่น้อง ตลอดทั้งแฟนเพลงทั่วประเทศ

สรวง สันติ เสียชีวิตเมื่ออายุได้ 37 ปี และมีบุตร 3 คน คือเด็กหญิงแจ่มใส, เด็กชายอยู่ยง-คงกระพัน ซึ่งเป็นคู่แฝดครับทั้งน่าเสียใจ น่าร้องให้ น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง น้าสรวง คืออัจฉริยะ ศิลปินในดวงใจผมครับ
                                                                         bananabrn กล้วย บ้านระโนด

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เดชคำภีร์เทวดา

เป็นภาพยนต์จีนกำลังภายในที่ข้าพเจ้าชื่นชอบมากเรื่องหนึ่ง ที่ซื้อวิดีโอ จากร้านแมงป่องครบทั้ง 3 ม้วน  และจะเก็บรักษาไว้เป็นตำนานตลอดไปแม้ว่าไม่มีเครื่อง วิดีโอให้ดูแล้ซึ่งสร้างจากนิยายเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรซึ่งเค้าเรื่องเดิมในแง่คิดของข้าพเจ้าน่าจะให้แง่มุมที่เป็นปรัชญาแบบบูรพามากกว่า เพราะคำว่าบูรพานี้ซ่อนความหมายได้ลึกหลายชั้น และเป็นเรื่องที่สูงกว่าเรื่องการแก่งแย่งชิงกันทางโลกของมนุษย์ธรรมดามากกว่า แต่หนังยังไงก็ต้องเอามันส์ไว้ก่อนยังงั้นคงไม่มีใครดู


เดชคัมภีร์เทวดา .... จากวิกิพีเดีย https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3

เดชคัมภีร์เทวดา ชื่อภาษาไทยของภาพยนตร์จีนกำลังภายใน ชื่อภาษาอังกฤษว่า The Swordsman (ภาษาจีนกลาง : 笑傲江湖 กว่างหลิงซ่าน) นำแสดงโดย แซม ฮุย กำกับโดย หูจินเฉวียน อำนวยการสร้างโดย ฉีเคอะ ออกฉายในปี พ.ศ. 2533 ความยาว 120 นาที
     
เนื้อเรื่องย่อ
เหล็งฮู้ชง (แซม ฮุย) เป็นศิษย์เอกสำนักหัวซาน เป็นศิษย์ของงักปุ๊กคุ้ง เจ้าสำนักหัวซาน เหล็งฮู้ชงเป็นคนไม่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวิชา แต่เป็นคนชอบสนุกสนานรื่นเริงและจริงใจกับคนรอบด้าน เขาได้ออกเดินทางผจญภัยไปในยุทธภพและได้พบกับฟงชิงหยาง ผู้เฒ่าพเนจรผู้ก่อตั้งสำนักหัวซาน


ฟงชิงหยางได้สอนวิชากระบี่โต๊ะโกให้แก่เหล็งฮู้ชง ทำให้เหล็งฮู้ชงกลายเป็นผู้เยี่ยมยุทธ และท้ายที่สุด งักปุ๊กคุ้ง อาจารย์ของเหล็งฮู้ชง ผู้ที่เหมือนว่าจะเป็นผู้ดีแต่จริง ๆ แล้วต้องการจะครอบครองคัมภีร์ทานตะวันเพื่อเป็นเจ้ายุทธจักร ผู้ดีเป็นผู้ร้าย มีแต่เพียงเหล็งฮู้ชง บุคคลที่ไม่เอาไหนเท่านั้น ที่สามารถจะร้องเพลงเยาะเย้ยยุทธจักรได้อย่างแท้จริง เป็นการฉีกแนวภาพยนตร์ที่พระเอกกลายเป็นผู้ที่ไม่ได้เก่งกล้ากว่าคนอื่นมากที่สุดแต่อย่างใด

ความนิยม

เดชคำภีร์เทวดา เป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาจากนวนิยายเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรของกิมย้ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นนิยายเสียดสีล้อเลียนการเมืองของจีนในปี พ.ศ. 2510 ใจความสำคัญอยู่ที่ผู้ที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ดีแต่จริง ๆ แล้วเป็นผู้ร้าย และบุคคลธรรมดา ๆ ที่ไม่โดดเด่น ไม่เอาไหน ต่างหากคือบุคคลที่จริงใจ และยิ้มเย้ยยุทธจักรได้อย่างแท้จริง


ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จอย่างมากในการออกฉาย รวมทั้งในประเทศไทยด้วย จนต้องมีการสร้างภาค 2 ที่นำแสดงโดย หลี่เหลียนเจี๋ย, หลินชิงเสีย ในปี พ.ศ. 2534 ในชื่อ "The Legend of the Swordsman" และภาค 3 ในตอน ตงฟังปุ๊ป้าย (The East is Red) ในปีถัดมา นำแสดงโดย หลินชิงเสีย, หวังจู่เสียน, อีกทั้งได้ถูกสร้างออกมาเป็นละครโทรทัศน์อีกหลายต่อหลายครั้งในภายหลัง และยังเป็นภาพยนตร์ที่สร้างชื่อให้แก่ฉีเคอะผู้อำนวยการสร้างเป็นอย่างมากอีกด้วย ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้กำกับเองในภาค 2 และภาค 3

การวางโครงเรื่อง หลินชิงเสีย เป็นตงฟางปุป้าย  เอี่ยงเอี้ยง หรือ อิ๋งอิ๋ง ในฉบับการ์ตูน
"ธรรมะ อธรรม และวิญญูชนจอมปลอม" หมายความว่า ความแบ่งชนชั้นทางสังคมของธรรมะ และ อธรรม คนไหนนิสัยไม่ดี หรือ คบหาคนไม่ดีก็แบ่งเป็นฝ่ายอธรรม ทั้งที่ฝ่ายธรรมะจะมีแต่คนดี และ คนของฝ่ายอธรรมใช่ว่าต้องเลวร้ายเสมอไป คนฝ่ายธรรมะที่เลวร้ายก็มี คนที่ดีในฝ่ายอธรรมมันก็มี
"วิญญูชน" หรือ "วีรบุรุษ" ตามความหมายของพจนานุกรมไทยฉบับบัณฑิตราชสถาน หมายความว่า คนที่ได้รับยกย่องจากผู้คนในทางที่ดี

ส่วนวิญญูชนจอมปลอม  คือ คนที่ไม่ใช่วีรบุรุษอันแท้จริง มักมีจุดประสงค์ร้ายเคลือบแฝงอย่างแน่นอน อย่างงักปุกคุ้งอาจารย์ของตัวเอกของเรื่อง คนอื่นมองภายนอกว่าเป็นคนดี เที่ยงธรรม ยุติธรรม แต่แท้จริงแล้วโกหกปลิ้นปล้อนหลอกลวงเพื่อให้ตัวเองเป็นใหญ่ในยุทธจักร คาดว่าหลายประเทศก็มีเหมือนกันแต่นักการเมืองคนหนึ่งของเวียดนาม ได้นำเอาคำว่า งักปุกคุ้ง อันเป็นวิญญูชนจอมปลอมไปกล่าวหานักการเมืองอีกคนหนึ่งเหมือนกัน




กระบี่เย้ยยุทธจักรเป็นเรื่องราวการแย่งชิงความเป็นหนึ่งในยุทธจักร ระหว่าง ธรรมะ และ อธรรม ท่ามกลางความขัดแย้งและการแย่งชิงอันรุนแรง เหล้งฮู้ชง จอมยุทธฝ่ายธรรมะ ศิษย์เอกของสำนักหัวซาน เป็นคนเปิดเผย ไม่ยึดติดกฎเกณฑ์ คบหาคนด้วยใจ ไม่สนว่าจะเป็นคนฝ่ายธรรมะหรือฝ่ายอธรรม จนถูกขับออกจากสำนัก แต่ยังไม่พ้นเข้าไปพัวพันเหตุความขัดแย้งต่างๆ ทั้งการชิงความเป็นใหญ่ภายในของฝ่ายธรรมะ และการชิงความเป็นใหญ่ภายในของฝ่ายอธรรม จนสับสนวุ่นวายว่าใครกันแน่ที่เป็นมาร ใครกันที่เป็นฝ่ายอธรรม และใครที่เป็นฝ่ายธรรมะ เพียงต้องการที่จะเป็นที่หนึ่ง ไม่เลือกวิธีการ งักปุ๊กคุ้ง เจ้าสำนักหัวซาน ผู้ได้ฉายาว่ากระบี่ผู้ดี ถึงกับทรยศครอบครัว และศิษย์ของตัวเอง จ้อแหน้เซี้ยง เจ้าสำนักซงซาน กำจัดทุกคนที่ไม่คล้อยตามตนเอง ก็เพียงต้องการได้ชื่อว่า;เป็นอันดับหนึ่งในยุทธภพ"

นวนิยายเรื่องนี้ เป็นนวนิยายที่ล้วนแฝงไว้ด้วยแนวคิดปรัชญาการดำรงชีวิต อีกทั้งยังมีการเสียดสีสังคมอยู่ตลอด แต่ก็หาได้ขาดอรรถรสของนวนิยายกำลังภายในไปแต่อย่างใด ในขณะที่เรื่องดำเนินไป จะเกิดคำถามขึ้นตลอดเวลา ถึงเรื่องของความถูกผิดในพฤติกรรมของตัวละครแต่ละตัว ตัวละครฝ่ายธรรมะ หรือตัวละครฝ่ายอธรรม ต่างมีความเป็นเอกลักษณ์ในตัวเอง โดยมีตัวละคร เหล้งฮู้ชง เป็นตัวดำเนินเรื่อง และเป็นตัวเปรียบเทียบ ว่าความสุขของชีวิตที่แท้จริงนั้น อยู่ที่ไหนกันแน่
  
เนื้อเรื่องย่อโดยสังเขป
หล้งฮู้ชง ศิษย์เอกของสำนักหัวซาน ได้พบและคบหากับ เค็กเอี๊ยง แห่งพรรคมาร โดยบังเอิญ และได้เข้าช่วยเหลือให้ความปรารถนาของ เค็กเอี๊ยง และ หลิวเจิ้นฟง แห่งสำนักเหิงซาน ที่ต้องการล้างมือจากยุทธภพ บรรเลงเพลง เย้ยยุทธจักร ที่ทั้ง 2 แต่งขึ้นเป็นจริงขึ้นมา ทำให้เริ่มขัดแย้งกับจอมยุทธฝ่ายธรรมะ  และถูกอาจารย์ลงโทษให้ไปเก็บตัวอยู่บนผาสำนึกตนเป็นเวลา 1 ปี ห้ามลงจากเขาเด็ดขาด ที่ผาฯ นั้นเอง เหล้งฮู้ชง ได้พบกับ ปรมาจารย์สายกระบี่ ฟงชิงหยาง และได้รับการถ่ายทอด เก้ากระบี่ต๊กโกว ทำให้ฝีมือรุดหน้าอย่างรวดเร็ว จนถูกคนเข้าใจผิดว่า เหล้งฮู้ชง ขโมยฝึกวิชา เพลงกระบี่ปราบมาร ของตระกูลลิ้ม    
ด้วยเหตุที่ถูกเข้าใจผิด จึงได้มีวาสนาได้ใกล้ชิดกับ หยิ้นอิ๋งอิ๋ง ธิดาเทพแห่งพรรคมารเข้า และก่อตัวเป็นความรัก ยิ่งทำให้ขัดแย้งกับชาวยุทธฝ่ายธรรมะมากยิ่งขึ้นไปอีก จนถูกอาจารย์ขับออกจากสำนักในที่สุด หลังจากนั้น ความรักของทั้งคู่ก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
   
 เพื่อช่วยอาการบาดเจ็บของ เหล้งฮู้ชง หยิ้นอิ๋งอิ๋ง ยอมบุกเข้าวัดเส้าหลินเพื่อขอความช่วยเหลือ โดยไม่สนถึงฐานะธิดาเทพของตน ยอมอยู่วัดเส้าหลิน 10 ปี แลกกับความช่วยเหลือ เหล้งฮู้ชง ต่อมา เหล้งฮู้ชง ได้เข้าช่วยเหลือพ่อของ หยิ้นอิ๋งอิ๋ง ออกจากคุกใต้ทะเลทราย โดยไม่รู้ว่าที่แท้พ่อของนางก็คือ หยิ้นอั้วฮั้ง อดีตประมุขพรรคมาร และได้เรียนวิชา มหาเวทดูดดาว เข้าโดยบังเอิญ เหล้งฮู้ชง ทราบข่าวว่า หยิ้นอิ๋งอิ๋ง ถูกกักตัวอยู่ที่วัดเส้าหลิน จึงรวบรวมเหล่าชาวยุทธบุกเส้าหลินเพื่อช่วยนางออกมา ต่อมา เหล้งฮู้ชง ได้เข้าช่วยเหลือ หยิ้นอั้วฮั้ง ชิงตำแหน่งประมุขพรรคมารคืนจาก ตงฟางปุ๊ป้าย และได้รับการชักชวนให้เป็นรองประมุขจาก หยิ้นอั้วฮั้ง แต่ว่า เหล้งฮู้ชง ปฏิเสธ แล้วจากมา

ในขณะเดียวกัน จ้อแหน้เซี้ยง เจ้าสำนักซงซาน ผู้นำแห่ง 5 ขุนเขากระบี่ ได้เริ่มดำเนินแผนรวมห้าขุนเขากระบี่เป็นหนึ่ง เพื่อก้าวสู่ความเป็นใหญ่ในฝ่ายธรรมะ แต่ ตึ้งอี้ซือไท้ เจ้าสำนักหานซาน คัดค้านไม่ยอมคล้อยตาม ตึ้งอี้ซือไท้ จึงถูก จ้อแหน้เซี้ยง ลอบทำร้าย โชคดีที่ได้ เหล้งฮู้ชง เข้าช่วยเหลือจึงรอดมาได้ แต่ในที่สุด ติ้งอี้ซือไท้ ก็ถูกสังหารจนได้ โดยคนชุดดำ และได้ทิ้งคำสั่งเสียให้ เหล้งฮู้ชง รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักหานซาน หลังจากรับตำแหน่งเจ้าสำนักหานซาน และชักชวนชาวยุทธให้เข้าสำนักหานซานแล้ว จ้อแหน้เซี้ยง ได้เรียกประชุม 5 สำนัก เรื่องการรวมตัวกันของสำนัก 5 ขุนเขากระบี่ โดยการประลองกระบี่ ผลคือ งักปุ๊กคุ้ง สามารถชนะและสังหาร จ้อแหน้เซี้ยง ลงได้ แต่วิชาที่ใช้นั้น กลับเป็น เพลงกระบี่ปราบมาร ไม่ใช่เพลงกระบี่หัวซานแต่อย่างใด แผนการที่วางมานานของ งักปุ๊กคุ้ง จึงได้ถูกเปิดเผยออกมาในการประลองนี้ หลังจาก งักปุ๊กคุ้ง ได้ตำแหน่งประมุขพรรค 5 ขุนเขากระบี่แล้ว ก็ได้เริ่มแผนการขั้นต่อไป คือกำจัดพรรคมาร เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่ตนเอง งักปุ๊กคุ้ง ชักชวน เหล้งฮู้ชง ให้เข้าร่วมกับตนเพื่อช่วยกำจัดพรรคมาร


เหล้งฮู้ชง หลีกเลี่ยง โดยอ้างการส่ง ศิษย์หานซาน กลับสำนักหานซานก่อน แล้วจึงจะมาช่วยงาน พรรค 5 ขุนเขากระบี่ ระหว่างทาง ได้พบเข้ากับ ลิ้มเพ้งจือ กำลังจะสู้กับ อื้อชางไห่ เจ้าสำนักชิงเฉิง และ มู่เกาฟง เพื่อแก้แค้นให้ พ่อแม่ ที่ตายไป โดยเพลงกระบี่ที่ใช้รวดเร็วและร้ายกาจ เป็น เพลงกระบี่ปราบมารนั่นเอง ลิ้มเพ้งจือ มีฝีมือร้ายกาจ แม้ อื้อชางไห่ และ มู่เกาฟง ร่วมมือกัน ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ ในที่สุด แม้ว่า ลิ้มเพ้งจือ จะเอาชนะและสังหารทั้งคู่ได้สำเร็จ แต่ก็ต้องพลาดท่าถูกเลือดพิษของ มู่เกาฟง ทำให้ตาบอด หลังจากตาบอด งักเล้งซัง ติดตามดูแล ลิ้มเพ้งจือ อยู่ไม่ห่าง ลิ้มเพ้งจือ เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้นางฟัง รวมทั้งเรื่องการเฉือนความเป็นชายเพื่อฝึก เพลงกระบี่ปราบมาร งักเล้งซัง มีใจรักมั่น แม้เสียใจ แต่นางก็ยังต้องการที่จะดูแล ลิ้มเพ้งจือ ต่อไป แต่เพื่อแก้แค้น งักปุ๊กคุ้ง ที่ขโมย คัมภีร์กระบี่ปราบมาร ไป ลิ้มเพ้งจือ จึงได้ลงมือสังหาร งักเล้งซัง อย่างเลือดเย็น แล้วหนีไปหลบซ่อนตัวเพื่อรอการแก้แค้น งักปุ๊กคุ้งต่อไป

หลังจาก งักปุ๊กคุ้ง ดำเนินการที่จะกำจัดพรรคมาร โดยหวังใช้ เหล้งฮู้ชง มาช่วยตนกำจัด หยิ้นอั้วฮั้ง แต่เมื่อถูก เหล้งฮู้ชง ปฏิเสธ จึงหันกลับมาหวังกำจัดแทน และเข้าขอความช่วยเหลือจาก วัดเส้าหลิน และ สำนักบู๊ตึ๊ง แต่ถูกปฏิเสธ งักปุ๊กคุ้ง จึงต้องสู้กับ พรรคมาร เพียงลำพัง ทางฝ่าย หยิ้นอั้วฮั้ง เองก็ต้องการให้ เหล้งฮู้ชง มาเข้ากับฝ่ายตนเช่นเดียวกัน จึงปล่อยข่าวเรื่องที่ เหล้งฮู้ชงช่วยเหลือ หยิ้นอั้วฮั้ง ถึง 2 ครั้ง 2 ครา หลังจากนั้นก็ได้พาตัว เหล้งฮู้ชง มาที่ ผาไม้ดำ และเสนอเรื่องการแต่งงานกับ หยิ้นอิ๋งอิ๋ง และรับตำแหน่งรองประมุขพรรคตะวันจันทรา แต่เพื่อไม่ให้ผิดต่อคุณธรรม เหล้งฮู้ชง จึงปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ หยิ้นอั้วฮั้ง โกรธเป็นอย่างมากถึงกับประกาศว่าจะไปถล่มสำนักหานซานด้วยตนเอง เหล้งฮู้ชง จึงจำต้องจาก หยิ้นอิ๋งอิ๋ง ณ ที่ผาไม้ดำ


ข่าวการปฏิเสธตำแหน่งรองประมุขพรรคตะวันจันทรา และตัดใจจาก หยิ้นอิ๋งอิ๋ง ของ เหล้งฮู้ชง เป็นที่ชื่นชมไปทั่วในความมีคุณธรรม ถึงกับยอมตัดใจจากคนรัก หลังจากกลับมาถึง สำนักหานซาน ไต้ซือฟางเจิ้นเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน และนักพรตชงซีเจ้าสำนักบู๊ตึ๊ง ได้พาศิษย์มาช่วยเหลือต้านก บุกโจมตีของพรรคมาร ไต้ซือฟางเจิ้น ได้มอบ คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดจาก วิชามหาเวทดูดดาว โดยอ้างว่าเป็นคัมภีร์ของ ฟงชิงหยาง หลังจากที่ เหล้งฮู้ชง สร้างกระท่อมไม้ไผ่บนเขาหานซาน เพื่อหวังเป็นกระท่อมพักกายอยู่อย่างสงบ หยิ้นอิ๋งอิ๋งได้มาหา เหล้งฮู้ชง หลังจากที่จากกันที่ผาไม้ดำ งักปุ๊กคุ้ง จึงถือโอกาสนี้จับตัว หยิ้นอิ๋งอิ๋ง ไปหัวซานเพื่อบีบให้ เหล้งฮู้ชง ไปติดกับ

ในเวลาเดียวกัน ลิ้มเพ้งจือ เองก็ตรงมายังหัวซานเพื่อแก้แค้นเช่นกัน ในระหว่างการต่อสู้ของ ลิ้มเพ้งจือ กับ งักปุ๊กคุ้ง นั้นเอง ด้วยความช่วยเหลือของ งักฮูหยิน ทำให้ช่วย หยิ้นอิ๋งอิ๋ง ออกมาได้ แต่แล้วด้วยความหมดอาลัยตายอยากต่อ งักปุ๊กคุ้ง ผู้เป็นสามี จึงได้ฆ่าตัวตาย ระหว่างที่ เหล้งฮู้ชง และ หยิ้นอิ๋งอิ๋ง ฝังศพของ งักฮูหยิน แล้ว ก็เดินทางกลับหานซาน แต่กลับพบว่าสำนักหานซานถูก งักปุ๊กคุ้ง ถือโอกาสโจมตีและบังคับพาตัวศิษย์หานซานไปผาไม้ดำ เหล้งฮู้ชง และ หยิ้นอิ๋งอิ๋ง จึงตามไปที่ผาไม้ดำงักปุ๊กคุ้ง ได้เข้าจู่โจมผาไม้ดำ และได้ประมือกับ หยิ้นอั้วฮั้ง แม้ หยิ้นอั้วฮั้ง และทูตซ้าย เฮี้ยงหมึ่งที จะลงมือพร้อมกัน ก็ไม่อาจเอาชนะ งักปุ๊กคุ้ง ได้ 

เมื่อ เหล้งฮู้ชง และ หยิ้นอิ๋งอิ๋ง มาถึงที่ผาไม้ดำ หยิ้นอิ๋งอิ๋ง เห็นผู้เป็นพ่อกำลังเสียท่า จึงยื่นมือเข้าช่วย แต่สุดท้ายก็ยังสู้ งักปุ๊กคุ้ง ไม่ได้ หยิ้นอิ๋งอิ๋ง บาดเจ็บ เฮี้ยงหมึ่งที บาดเจ็บสาหัส ส่วน หยิ้นอั้วฮั้ง ต้องจบชีวิตลง งักปุ๊กคุ้ง เหมือนจะได้ในสิ่งที่ตนปรารถนา คือ ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในแผ่นดิน และแล้วการต่อสู้ระหว่าง เหล้งฮู้ชง กับ งักปุ๊กคุ้ง ก็เริ่มขึ้น ในครั้งนี้ ทั้งคู่ต่างใช้ฝีมือที่มีอยู่ทั้งหมดเข้าสู้กัน แม้ เพลงกระบี่ปราบมาร จะร้ายกาจ แต่ก็ไม่อาจตั้งรับการบุกโจมตีของ เก้ากระบี่ต๊กโกว ได้ จึงต้องพ่ายแพ้และจบชีวิตไปในที่สุด หลังจากศึกบนผาไม้ดำจบลง เหล้งฮู้ชง ได้สละตำแหน่งเจ้าสำนักให้แก่ อี้ลิ้ม ศิษย์เอกแห่งสำนักหานซาน รับสืบทอดต่อไป และไปใช้ชีวิตอยู่ในกระท่อมไม้ไผ่ ดื่มเหล้า บรรเลงบทเพลงเย้ยยุทธจักร กับ หยิ้นอิ๋งอิ๋ง ใช้ชีวิตอย่างสงบ


โครงเรื่องจาก: กระบี่เย้ยยุทธจักร (Xiao Ao Jiang Hu) เวอร์ชันปี 2001 ตัวละครในเรื่อง เหล้งฮู้ชง (令狐沖 - หลิงหูชง) ศิษย์เอกแห่งสำนักหัวซาน (華山派) เป็นคนไม่ยึดติดกฎเกณฑ์ มีนิสัยเปิดเผย ชอบช่วยเหลือคน วันหนึ่งได้มีวาสนาพบเจอกับ ฟงชิงหยาง (風清揚) ปรมาจารย์สายกระบี่สำนักหัวซาน สำเร็จวิชา เก้ากระบี่ต๊กโกว (獨孤九劍) และได้พบรักกับ หยิ้นอิ๋งอิ๋ง ธิดาเทพแห่งพรรคตะวันจันทรา และยังเป็นผู้สืบทอดมหาเวทย์ดูดดาวของ หยิ้นอั้วฮั้ง โดยบังเอิญ

หลังจากสิ้นสุดความวุ่นวาย ได้ปลีกตัวไปอยู่สันโดษกับ หยิ้นอิ๋งอิ๋ง ยิ่มเอี่ยงเอี้ยง (任盈盈 - เยิ่นอิ๋งอิ๋ง) ธิดาเทพแห่งพรรคตะวันจันทรา (日月神教聖姑) ลูกสาวเพียงคนเดียวของอดีตประมุขพรรคตะวันจันทรา หยิ้นอั้วฮั้ง ภายหลังได้พบรักกับ เหล้งฮู้ชง ยิ่มอั้วเกี่ย(任我行 - เยิ่นหว่อสิง) อดีตประมุขพรรคตะวันจันทราถูก ตงฟางปุ๊ป้าย ได้ชิงตำแหน่งประมุขไป  และถูกจับขังอยู่ในคุกใต้ทะเลสาบ 12 ปี ภายหลังออกมาได้โดยการช่วยเหลือของ เหล้งฮู้ชง กับเฮี้ยงหมึ่งที หลังจากออกมาได้แล้ว ก็ชิงตำแหน่งประมุขคืนจาก ตงฟางปุ๊ป้าย เฮี้ยงหมึ่งที (向問天 - เซี่ยงเหวินเทียน)ทูตขวาแห่งพรรคตะวันจันทรา คนสนิทของ หยิ้นอั้วฮั้ง เป็นผู้วางแผนการให้ เหล้งฮู้ชง ช่วย หยิ้นอั้วฮั้ง ออกจากคุกใต้ทะเลสาบ งักปุ๊กคุ้ง (岳不群 - เยวี่ยปุ๊ฉวิน) ฉายา กระบี่ผู้ดี (君子劍) เจ้าสำนักหัวซานสายลมปราณ(華山派氣宗) และเป็นอาจารย์ผู้ชุบเลี้ยง เหล้งฮู้ชง มาตั้งแต่เด็ก ภายหลังเพียงเพื่อชิง เพลงกระบี่ปราบมาร (辟邪劍法) จึงได้ใส่ร้าย เหล้งฮู้ชง และขับ เหล้งฮู้ชง ออกจากสำนัก ภายหลังสำเร็จ เพลงกระบี่ปราบมาร และได้ขึ้นเป็นประมุขพรรค 5 ขุนเขากระบี่

ตังฮึงปุกป่าย (東方不敗 - ตงฟางปุ๊ป้าย) หรือ บูรพาไร้พ่าย (บูรพาไม่แพ้) ผู้สำเร็จ วิชาทานตะวัน แต่เพียงผู้เดียว ประมุขพรรคตะวันจันทรา ฝีมือไร้เทียมทาน แม้ หยิ้นอั้วฮั้ง เหล้งฮู้ชง เฮี้ยงหมึ่งที และหย้นอิ๋งอิ๋ง 4 คน จะร่วมมือกัน ก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ หากแต่ ตงฟางปุ๊ป้าย มัวห่วงคนรัก หยางเหลียนถิง (楊蓮亭) จึงได้พลาดพลั้งถูกกระบี่ของ เหล้งฮู้ชง และตายอยู่เคียงข้าง หยางเหลียนถิง ตงฟางปุ๊ป้าย หลังจากได้ตำแหน่งประมุขพรรคตะวันจันทรา ก็ได้ใช้ชิวิตสันโดษอยู่บนผาไม้ดำ เย็บปักถักร้อย เล่นดนตรี โดยให้คนรัก หยางเหลียนถิง เป็นคนคอยดูแลพรรค 

ฟงชิงหยาง (風清揚) ปรมาจารย์สายกระบี่แห่งสำนักหัวซาน(華山派劍宗) ผู้สืบทอด เก้ากระบี่ หลังจากศึกนองเลือดระหว่างสายลมปราณและสายกระบี่ ก็ได้เร้นกายอยู่บนผาสำนึกตน จนได้พบกับ เหล้งฮู้ชง จึงได้ถ่ายทอด เก้ากระบี่ต๊กโกว ให้ ลิ้มเพ้งจือ (林平之 - หลินผิงจือ) ผู้สืบทอดสำนักคุ้มภัย ฟุ้เวย (福威鏢局) เจ้าของที่แท้จริงของ เพลงกระบี่ปราบมาร แต่ก็เพราะเพลงกระบี่ชุดนี้ ทำให้ต้องบ้านแตก ถูก อื้อชางไห่ (余滄海) ฆ่าล้างสำนัก เพื่อหวังจะชิง เพลงกระบี่ปราบมาร แต่ได้รับความช่วยเหลือจาก เหล้งฮู้ชง จึงได้รอดชีวิต 

ต่อมา งักปุ๊กคุ้ง รับเป็นศิษย์สำนักหัวซาน ได้แต่งงานกับงักเล้งซัง งักปุ๊กคุ้ง ใช้เล่ห์กลชิง เพลงกระบี่ปราบมารไปและคิดฆ่าตนปิดปาก นับว่ายังโชคดีรอดชีวิตมาได้ และยังพบ เพลงกระบี่ปราบมาร จากใต้ผาสำนึกตน หลังจากสำเร็จวิชา จึงได้เริ่มการแก้แค้น ผู้ที่ทำร้ายตนและครอบครัว งี้นิ้ม หรือ อี้หลิน(儀琳)แม่ชีน้อย ศิษย์สำนักหานซาน(恆山派) วันหนึ่งถูก เถียนป๋อกวง จับตัวไว้หมายจะทำมิดีมิร้าย เหล้งฮู้ชง ได้เข้าช่วยเหลือ จึงได้แอบหลงรัก เหล้งฮู้ชง แต่เพราะตนเป็นผู้ออกบวช จึงได้แต่เก็บเอาไว้ในใจ ภายหลังได้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักหานซานต่อจาก เหล้งฮู้ชง



เถียนป๋อกวง (田伯光) โจรปล้นสวาท ฉายา ฉายเดี่ยวหมื่นลี้ (萬里獨行) เพราะ อี้ลิ้ม จึงได้รู้จักกับ เหล้งฮู้ชง หลังจากแพ้ให้ เหล้งฮู้ชง จึงต้องรับ อี้ลิ้ม เป็นอาจารย์ และได้คบหาเป็นเพื่อนกับ เหล้งฮู้ชง จ้อแหน้เซี้ยง (左冷禪 - จั๋วเหลิ่งซาน) เจ้าสำนักซงซาน (嵩山派掌門) ผู้นำ 5 ขุนเขากระบี่ (五嶽劍派盟主) เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง คิดเป็นเจ้ายุทธจักร โดยเริ่มต้นจากการรวม 5 ขุนเขากระบี่เป็นหนึ่งเดียว สุดท้ายต้องฝันสลาย ถูกงักปุ๊กคุ้งฆ่าตาย ในการประลองคัดเลือกประมุขพรรค 5 ขุนเขากระบี่ งักเล้งซัง (岳靈珊 - เยวี่ยหลิงซาน) ลูกสาวเพียงคนเดียวของ งักปุ๊กคุ้ง สนิทสนมและฝึกวิชากับ เหล้งฮู้ชง มาตั้งแต่เด็ก ทั้งคู่ต่างชอบพอกัน

จนกระทั่ง ลิ้มเพ้งจือ เข้าสำนัก  ด้วยความใกล้ชิดจึงได้เปลี่ยนใจไปรัก ลิ้มเพ้งจือ และแต่งงานเป็นสะใภ้ตระกูลลิ้ม แต่สุดท้ายก็ต้องตายด้วยมือของสามีนางเอง ม่อต้า ผู้อาวุโสแห่งสำนักเหิงซาน มีฉายาว่า พิรุณราตรี เป็นศิษย์พี่ของเจ้าสำนักเหิงซาน หลิวเจิ้นฟง เพลงกระบี่ว่องไว เมื่อชักออกจากฝัก จะถูกเก็บอย่างรวดเร็ว ศัตรูไม่ทันได้ชักกระบี่ ก็ต้องลงไปนอนจมกองเลือดซะแล้ว

ภายหลังรับตำแหน่งเจ้าสำนักเหิงซานต่อจาก หลิวเจิ้นฟง ใต้ซือฟางเจิ้น (方證大師) เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินคนปัจจุบัน เป็นหลวงจีนที่ทุกคนให้ความยำเกรง มีกำลังภายในสูง เป็นผู้ที่ช่วยบรรเทาอาการบาดเจ็บของ เหล้งฮู้ชง จากลมปราณ 8 สายที่อยู่ในตัว ภายหลังยังมอบคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น สลายผลร้ายที่เกิดจาก มหาเวทย์ดูดดาว อีกด้วย นักพรตชงซี เจ้าสำนักบู๊ตึ๊งคนปัจจุบัน เป็นอีกผู้หนึ่งที่ทุกคนล้วนให้ความยำเกรง เป็นสหายของใต้ซือฟางเจิ้น และเป็นอีกคนที่คอยให้ความช่วยเหลือแก่ เหล้งฮู้ชง งักฮูหยิน(寧中則) เป็นอาจารย์หญิงของ เหล้งฮู้ชง และเป็นผู้ที่ เหล้งฮู้ชง ให้ความเคารพดั่งแม่แท้ๆ เป็นจอมยุทธหญิงที่มีชื่อเสียง ภายหลังได้ฆ่าตัวตาย เพราะทนความเลวทรามของ งักปุ๊กคุ้ง ผู้เป็นสามีไม่ได้ 

เคล็ดวิชาในกระบี่เย้ยยุทธจักร เก้ากระบี่เดียวดาย หรือ เก้ากระบี่ต๊กโกว (獨孤九劍) วิชาของมารกระบี่ ต๊กโกวคิ้วป้าย แซ่ของเขาคือ "ต๊กโกว" (獨孤) มีฉายาว่า "คิ้วป้าย" (求敗) แปลว่า "แสวงพ่าย" เพลงกระบี่เก้ากระบี่ต๊กโกว มีอยู่ 9 เคล็ด เพียง 1 เคล็ดก็สามารถผันแปรได้อีก 360 ท่า 

ทุกกระบวนท่าของเพลงกระบี่ชุดนี้มีแต่รุก กดดันให้คู่ต่อสู้ต้องเป็นฝ่ายตั้งรับ ใช้ไร้กระบวนท่าพิชิตกระบวนท่า โดยมีคติว่า "เมื่อไม่มีกระบวนท่า แล้วจะรับยังไง" ดังนั้น เก้ากระบี่ต๊กโกว จึงเป็นเพลงกระบี่ไร้พ่าย ตามเนื้อเรื่อง ผู้สืบทอดเพลงกระบี่ชุดนี้ คือ ฟงชิงหยาง หรือ ฮวงเช็งเอี้ยง ปรมาจารย์สายกระบี่แห่งสำนักหัวซาน 

แต่ที่มาการสืบทอดเพลงกระบี่ของ ฟงชิงหยาง นั้น ไม่ได้กล่าวไว้ ภายหลังได้ถ่ายทอดวิชานี้ต่อให้กับ เหล้งฮู้ชง ขณะที่อยู่บนผาสำนึกตน เพลงกระบี่ปราบมาร (辟邪劍法) และ วิชาทานตะวัน ทั้ง 2 วิชา มีที่มาจากคัมภีร์ทานตะวัน (葵花寶典) ซึ่งสมัยก่อนมีขันทีคนหนึ่งบัญญัติขึ้นเป็นวิชาสำหรับขันทีโดยเฉพาะและบันทึกเอาไว้บนจีวรแดง ว่ากันว่าวิชาใน คัมภีร์ทานตะวัน สุดแสนวิเศษล้ำเลิศ 300 ปีที่ผ่านไม่มีผู้ใดฝึกได้สำเร็จเลย

ต่อมาได้มีศิษย์ 2 คนของสำนักหัวซาน คือ งักซู่แห่งสายลมปราณ และ ไฉ้จื่อฟงแห่งสายกระบี่ ไปแอบอ่านคัมภีร์เข้า แล้วศึกษาจนคิดค้นวิชาออกมาเป็น 2 วิชา นั่นก็คือ เพลงกระบี่ปราบมาร และวิชาทานตะวัน แต่ก็นับว่าทั้ง 2 วิชาเป็นเพียงเศษเสี้ยวของคัมภีร์ของจริงเท่านั้น หากแต่ทั้ง 2 ไม่ได้ฝึกวิชาทั้ง 2 นี้ 

ต่อมาผู้เฒ่า 10 คนของพรรคตะวันจันทราได้ข่าวนี้เข้า จึงได้บุกมาหัวซานเพื่อชิงคัมภีร์ และได้ชิงวิชาทานตะวันไป งักซู่ (岳肅) และ ไฉ้จื่อฟง (蔡子峰) ก็ได้ตายในศึกนี้นี่เอง 10 ปีให้หลัง 10 ผู้เฒ่าแห่งพรรคตะวันจันทราได้บุกสำนักหัวซานอีกครั้ง แต่กลับถูกแผนร้ายกักขังไว้ในถ้ำบนผาสำนึกตนจนตาย ส่วนกระบี่ปราบมารได้ตกไปอยู่กับนักบวชเส้าหลินรูปหนึ่งนามว่า ตู้หย่วน ต่อมาได้เข้าสู่ยุทธภพ แต่งงานและเปลี่ยนชื่อเป็น ลิ้มเอี้ยงทู้ (林遠圖)พ่อของ ลิ้มติ้งนั้ง (林震南)หรือก็คือปู่ของ ลิ้มเพ้งจือ(林平之) นั่นเอง 

อวิชชาดูดดาว (吸星大法) เป็นวิชาสุดยอดวิชา อีกแขนงโดยแตกสาย  มาจากลมปราณภูติอุดรในแปดเทพอสูร ซึ่งเป็นวิชาที่ติงชุนชิวฝึกมาโดยไม่สมบูรณ์แล้วใช้มาเป็นวิชาของตัวเองในชื่อวิชาสลายพลัง ต่อมาในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรใช้ในชื่อ อวิชชาดูดดาว ซึ่งมาจากพลังสายเดียวกับวิชาสลายพลังผู้ที่ใช้วิชานี้คือประมุข ยิ้นอั้วฮั้ง แห่งพรรคตะวันจันทรา 

ซึ่งในตอนหลัง ยิ้นอั้วฮั้ง ใช้เวลาที่อยู่ในคุกใต้ทะเลสาบคิดวิธีที่สลายพลังให้มาเป็นของตังเองได้อย่างสมบูรณ์ โดยแนวทางเป็นวิชาที่ดูดพลังของคู่ต่อสู้ แล้วหลอมรวมมาเป็นของตนเอง โดยผู้ที่ฝึกวิชานี้ได้สมบูรณ์ที่สุดคือต้วนอี้ ในแปดเทพอสูรมังกรฟ้า 

สำหรับเล้งฮู้ชชงนั้นก็ได้ฝึกวิชานี้จากแผ่นเหล็กที่ยิ่นอั้วฮังจารึกไว้ในคุกใต้ทะเลสาป ในช่วงแรกนั้นเล้งฮู้ชงไม่สามารถหลอมรวมลมปราณเข้าด้วยกันได้ ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่นาน จนกระทั่งสุดท้ายได้ฝึกวิชาย้ายเส้นเอ็นแห่งวัดเส้าหลินจนกระทั่งรวมลมปราณเข้าด้วยกันได้สำเร็จ คัมภีร์รัศมีม่วง (紫霞神功) คือวิชาลมปราณขั้นสูงสุดของสำนักหัวซานสายลมปราณ ผู้สืบทอดวิชาคือ งักปุ๊กคุ้ง เจ้าสำนักหัวซาน วิชาปราณรัศมีม่วงเป็นสุดยอดวิชาแห่งสำนักหัวซานสายลมปราณซึ่งเป็นที่ปรารถนาของชาวยุทธ์ ด้วยวิชานี้จึงทำให้งักปุกคุ้งเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆของยุทธภพ

Jeff Beck&Tal Wilkenfeld

      JEFF BECK  

เจฟเบ็คค์ นี่ผมเคยซื้อเทปม้วนหนึ่ง ชอบฟังเสียง
กีตาร์ของแกจะเล่นเสียงได้แปลกๆมันส์และไพเราะ จะเล่นแจมกับเบสและกลองได้อารมณ์ดี ( หลังๆมาผมจะชอบตามดูดูฝรั่งหรือคนชาติไหนก็ได้ที่เขามีความคิดความอ่านแปลกๆ อยากทำอะไรก็ทำเลย ไม่ต้องรอเรียนหนังสืออย่างเดียวเหมือนบ้านเรา)


 นอกเหนือจาก จิมิ เฮนดริกซ์ (Jimi Hendrix), อีริค แคลพตัน (Eric Clapton) และ จิมมี เพจ (Jimmy Page) แล้ว ก็มี เจฟฟ์ เบ็คค์(Jeff Beck) อีกหนึ่งคน ที่โลกแห่งดนตรียอมรับและยกย่องให้อยู่ในทำเนียบ “4 เทพเจ้ากีตาร์”

เจฟฟ์ เบ็คค์ ฉายแววของอัจฉริยะทางด้านดนตรีตั้งแต่สมัยวัยที่นมยังไม่แตกพานดี เพราะอายุแค่ 11 ปี เขาก็สามารถเล่นกีตาร์และเปียโนได้ในระดับที่ใครเห็นเป็นต้องทึ่ง!...ถือว่าเป็นโชคดีทางด้านดนตรีของเจฟฟ์ เบ็คค์ เพราะเขามีแม่ที่สนับสนุนให้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องดนตรี โดยให้เรียนเปียโนตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งก็มีผลพวงทำให้เจฟฟ์ เบคค์มีพื้นฐานทางด้านดนตรีที่แน่น และช่วยเสริมสร้างทักษะความสามารถในการเล่นดนตรีของเขาได้เป็นอย่างดี

เจฟฟ์ เบ็คค์ เกิดในเมืองเวลลิงตัน (Wallington) ประเทศอังกฤษ เมื่อ 24 มิถุนายน 2494 แม้ในวัยเด็กเขาจะเริ่มต้นเรียนเปียโน แต่เครื่องดนตรีที่เขาชื่นชอบกลับเป็นกีตาร์แทน...เจฟฟ์ เบ็คค์ก็เหมือนกับอัจฉริยะทางด้านกีตาร์ทั่วไปที่ส่วนใหญ่จะอาศัย “พรแสวง” ควบคู่ไปกับ “พรสวรรค์”ซึ่งเจฟฟ์ เบ็คค์ก็จะอาศัยการศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเอง ถึงกับขนาดทำกีตาร์ขึ้นมาเล่นเอง! นั่นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาได้รู้ลึกถึงความแตกต่างของเสียงกีตาร์ประเภทต่างๆได้อย่างถึงรากถึงแก่น

    เจฟฟ์ เบ็คค์ เป็นสานุศิษย์ของสำนัก เดอะ ยาร์ดเบิร์ด (The Yardbird) มาด้วยกันกับอีริค แคลพตัน และจิมมี่ เพจ...โดยน้องสาวของเจฟฟ์ เบ็คค์ได้แนะนำให้เขาได้รู้จักกับจิมมี เพจ มือกีตาร์ที่มีอนาคตไกลอีกคนหนึ่งในขณะนั้น แล้วประจวบเหมาะกันกับที่อีริค แคลพตัน ซึ่งในขณะนั้นเป็นมือกีตาร์ของวงเดอะ ยาร์ดเบิร์ด ได้ขอลาออกจากวงไปอยู่กับจอห์น เมย์ออลล์ (John Mayall) เจ้าสำนักเดอะ บลูส์เบรกเกอร์ส (The Bluesbreakers) ในปี 1965 และเจฟฟ์ เบ็คค์ ก็ถูกชักชวนให้เข้ามาแทนที่ของอีริค แคลพตัน ซึ่งในตอนแรกเขาพยายามที่จะเสนอจิมมี่ เพจ ให้รับเข้าไปแทน โดยให้เหตุผลว่า ฝีมือของจิมมี่ เพจ ก็ไม่เป็นรองมือกีตาร์คนใด และ “ทาง” กีตาร์ของจิมมี่ เพจ น่าจะเหมาะสมกว่า! แต่ทางสมาชิกของวงยาร์ดเบิร์ด กลับมีความเห็นว่าเหมาะสมทั้งสองคน ก็เลยรับทั้งเบ็คค์และ  เพจเข้ามาเป็นมือกีตาร์ประจำวง ก็เท่ากับว่าในช่วงนั้นเดอะ ยาร์ดเบิร์ด มีมือกีตาร์ระดับ “พระกาฬ” อยู่ในวงถึง 2 คนทีเดียว ...
       
   
 
ใน เวลาต่อมา  เจฟฟ์ เบ็คค์ แยกตัวออกมาฟอร์มวงใหม่ชื่อ เจฟฟ์ เบ็ค์ กรุ๊ฟ (Jeff Beck Group) โดยสมาชิกในวงประกอบด้วย นิคกี้ ฮอฟกินส์ (Nicky Hopkins) เล่นเปียโน, มิคกี้ วอลเลอร์ (Micky Waller) ตีกลอง, รอนนี่ วู๊ด (Ronnie Wood) เล่นเบสส์ ( ในต่อมารอนนี่ วู๊ด ได้ไปเป็นโซโล กีตาร์ของ The Rolling Stones) และนักร้องนำคือ ร็อด สจ๊วต (Rod Stewart) หรือ “แหบเสน่ห์” นั่นละครับ

   
  เจฟฟ์ เบ็คค์ กรุ๊ป มีผลงานออกมา 2 อัลบั้ม แต่ไม่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ก็เลยต้องยุบวงไป และในเวลาต่อมาเขาก็ฟอร์มวงขึ้นมาใหม่ชื่อ เดอะ เฟซส์ ( The Faces ) โดยมีร็อด สจ๊วต เป็นนักร้องนำเช่นเดิม ซึ่งขณะที่วงนี้กำลังไปได้สวย กำลังไปได้ดี เจฟฟ์ เบคค์ก็ดันมาเจออุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้ต้องหยุดเล่นกีตาร์ไปหลายปี พร้อมๆกดับเดอะ เฟซส์ก็ต้องเลิกวงไปโดยปริยาย.....เมื่อกลับมาหานเป็นปกติ เจฟฟ์ เบ็คค์ ก็นำ เจฟฟ์ เบ็คค์ กรุ๊ฟ มาปัดฝุ่นใหม่ ก็ถูกตอบรับจากมิตรรักนักเพลงเป็นอย่างดี ต่อมาเขาก็ปลีกวิเวกไปร่วมทำงานกับเพื่อนเก่าจากวงเดอะ เฟซส์ คือ ทิม โบเกิร์ต (Tim Bogert)- กลอง และ คาร์ไมน์ แอพพีซ (Carmine Appice)- เบสส์ ในนามวง BBA ทำอัลบั้มออกมา 2 ชุด เป็นงานในสตูดิโอ 1 ชุด และงานแสดงสดอีก 1 ชุด..


.
 แล้วก็ตามฟอร์มครับ คือทั้ง 2 อัลบั้มถูกกล่าวขวัญกันมาก (โดยเฉพาะชุดแสดงสด) แต่ทางด้านธุรกิจล้มเหลวตามฟอร์มเหมือนกันครับพี่น้อง!  นายคนนี้แปลกครับไม่ชอบทำตัวเป็นข่าว และว่าไปแล้วข่าวคราวหรือประวัติของเขาก็หาสดับรับอ่านได้ยาก พอๆกับงานแสดงคอนเสิร์ต ที่บันทึกออกมาเป็น “ภาพ” ซึ่งหาสดับรับชมได้ลำบากแสนเข็ญเช่นกัน แทบจะไม่มีเอาเลย นอกจากจะไปโผล่และแจมกีตาร์กับเพื่อนซี้จากสำนักยาร์ดเบิร์ด คือจิมมี่ เพจ กับ อีริค แคลพตัน อยู่บ้าง แต่ก็น้อยจริงๆ ก็เพิ่งมี Performing This Week นี่แหละครับ ที่บันทึกงานแสดงคอนเสิร์ตของเขาออกมาในรูปแบบของดีวีดี ที่มีความยาวให้ชมอย่างเพลิดเพลินเจริญใจร่วมๆ 2 ชั่วโมงเชียวนะคุณ! เรื่องฝีไม้ลายกีตาร์ไม่ต้องพูดถึง ระดับ “เทพเจ้ากีตาร์” รับประกันได้ในทุกกรณีอยู่แล้วครับ..
ที่น่าสนใจอีกอย่าง ก็หนีไม่พ้นมือเบสส์สาว พันธ์เนื้อ นม ไข่ ที่กระเตงซับฯขนาด 40 นิ้ว แล้วไม่ปิดฝาตระแกรง ขึ้นไปยืนเคียงคู่เจฟฟ เบ็คค์ และขย่มเบสส์ในงาน Crossroads ให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทึ่งในฝีมือ และตะลึงในซับฯมะลักกั๊ก 40 นิ้วคู่นั้นมาแล้ว! มือเบสส์สาวอนงค์นี้มีชื่อว่าTal Wilkenfeld เป็นสาวออสซี่ เกิดในซิดนี่ย์ ออสเตรเลีย และฝีมือเบสส์เธอไม่ธรรมดาพอๆกับหุ่น เพราะเธอเคยร่วมงาน และออกทัวร์คอนเสิร์ตให้กับนักดนตรีทั้งแจ๊ส และร็อคที่มีชื่อเสียงระดับตำนานเรียกพี่ เช่น Herbie Hancock, Rod Stewart, John Mayer, Jimmy Page, Eric Clapton, The Allman Brother Band ฯลฯ...พูดถึงมือเบสส์ออกทัวร์ คอนเสิร์ตของ เจฟฟ์ เบคค์ นี่ก็แปลก เพราะระยะหลังๆนี้พวกใช้บริการจากมือเบสส์สตรีทั้งนั้น เพราะหลังจากคอนเสิร์ตนี้แล้ว แม่สาว Tal ก็กลับไปเล่นกับวงทริโอของตัวเอง ส่วนเจฟฟ์ เบ็คค์ ก็ได้มือเบสส์คนใหม่ แล้วก็เป็นผู้หญิงอีกแล้วครับท่าน! คราวนี่เปลี่ยนจากขาวจั๊วะ มาเป็นสาวผิวสีน่าเจี๊ยะ  ไม่ต้องสาธยายกันมากกับฝีมือระดับ “เทพเจ้ากีตาร์” และ “อภิมหาอมตะศิลปินกีตาร์ยอดเยี่ยม อันดับที่ 14 ของโลก” (จาก 100 คน) ที่จัดโดยนิตยสารดนตรีทรงอิทธิพล The Rolling Stone



 ในดีวีดี คอนเสิร์ตชุดนี้ เจฟฟ์ เบคค์ นำเพลงระดับ “ขึ้นหิ้ง” ของเขามาบรรเลงด้วยลูกเล่นและเทคนิคสารพัน ครบครัน-ครบเครื่องทั้งสปีดของนิ้วที่อยากถามเจฟฟ์ เบ็คค์ว่า...เอ็งทำได้ไง? หรือกับความหวานที่ละลายหัวใจมด! เกือบ 30 เพลงที่เขานำมาเล่น จะมีครบเครื่องเรื่องสไตล์ดนตรี ไม่ว่าเป็นร็อค, แจ๊ส, พังค์, ฟังค์กี้ และบลูส์ นั่นแสดงให้เห็นถึงความช่ำชองในดนตรีทุกแนวของเขา ที่เพื่อนร่วมรุ่น และนักกีตาร์รุ่นหลังให้การยอมรับ...นอกจากนั้นในคอนเสิร์ตนี้ยังมีแขกรับเชิญรุ่นปัจจุบันอย่าง  Joss Stone มาร้องเพลง People Get Ready และ Imogen Heap มาร่วมร้องในเพลง Blanket กับเพลง Rellin’ And Tumblin’ รวมทั้งที่ขาดไม่ได้เด็ดขาดคือรุ่นเก๋า..เก่า อีริค แคลพตัน เพื่อนซี้ร่วมสถาบันยาร์ดเบิร์ด ที่ถลำไปทางเพียวบลูส์ จนน่าจะถอนตัวไม่ขึ้น มารวมแจมกีตาร์อย่างสุดใจสองเพลงรวด ด้วยเพลง Little Brown Bird กับเพลง You Need Love...น่าเสียดายที่งานนี้ขาดเพื่อนร่วมสถาบันเก่าอีกคนคือ จิมมี เพจ...ถ้าจิมมี เพจ มาร่วมแจมด้วย ก็คงมันยกล้อฮ่อแร่ด เหมือนที่ทั้ง 3 พระหน่อยืนเสวนาด้วยกีตาร์ในงานคอนเสิร์ตโพลิศ แมน นั่นแหละพี่น้อง !

      Tal Wilkenfeld
Tal Wilkenfeld  เด็กผู้หญิงที่เห็นเล่นเบสอยู่กับ jeff beck ทีแรกผมนึกว่าเป็นลูกสาวแกตกลงไม่ใช่ ประวัติ น้องสาวนี่เกิดที่ Sydney, Australia เป็นนักเล่นกีตาร์และเบส ชาวออสเตรเลียผู้ซึ่งทั่วโลกให้ความสนใจ จากการแสดงดนตรีร่วมกับนักดนตรีร็อกและแจ็สที่มีชื่อเสียงโพลของนิตยสาร Bass Player โดยผู้อ่านได้โหวดให้เธอเป็น "The Year's MostExciting New Player 2008 "เธอทำให้ผู้ชมและแฟนเพลงประทับใจและได้รับความชื่นชมอย่างมากซึ่งความสำเร็จ อย่างนี้โดยปรกตินักดนตรีที่มีประสบการณ์ยาวนานเท่านั้นที่จะได้รับกลายเป็นนักเล่นเบสอาชีพหลังจากเริ่มเล่นเบสได้ 3 ปี ตอนนี้เธอยังเป็นหัวหน้าวง Trioซึ่งประกอบด้วย มือกีตาร์ Wayne Krantz และกลอง Keith Carlockช่วงต้น

   Wilkenfeld เริ่มเล่นกีตาร์ตอนอายุ 14 แต่เปลี่ยนมาเล่นเบสเมื่ออายุได้17หลังจากผ่านไป 2-3 เดือน เธอตั้งวงขึ้นและเริ่มประพันธ์ดนตรีจากตัวตนของเธอเองเธอกล่าวถึงการเลือกเครื่องดนตรีของเธอว่าฉันแค่หยิบเครื่องดนตรีขึ้นมาสักชิ้นฉันก็เล่นมันได้ ฉันจะนั่งลงเล่นกลองหรือเปียโนเพื่อความสนุก แต่ยังไงก็ตาม พอฉันจับเบสฉันรุ้ได้เลยว่านี่แหละ มันเหมือนกับ ใช่เลย ฉันไม่อยากเล่นกีตาร์อีกเลย มันวิเศษมาก

ปี 2002 Wilkenfeld ออกจากโรงเรียน เธอว่า มันไม่ได้ผลกับฉันหรอก จากนั้นตอนอายุ 16ก็อพยพไปอยู่ที่สหรัฐ ที่ซึ่งเธอเริ่มเข้าศึกษาที่ Los Angeles Music Academyและย้ายไป New York และเริ่มสร้างชื่อเสียงให้เธอเองที่ New York ตามคลับต่างๆเธอแบ่งเวลาของเธอให้กับ Los Angeles, New York และ Sydney, Australiaเดิมทีเมื่อเธอย้ายมาทีสหรัฐเธอเรียนกีตาร์ไฟฟ้าแต่ก็เปลี่ยนเป็นเบสในช่วง ปีนั้นเอง

ความสามารถในการประพันธ์เพลงของ Wilkenfeld หาฟังได้จากอัลบั้มแรกของเธอTransformation ซึ่งใช้เวลาอัดเพียง 2 วันเมื่อเธออายุ20 ปีการแสดงช่วงปี 2006-2007ปี 2006 Tal Wilkenfeld ร่วมเล่นอยู่กับAllman Brothers Bandจากนั้นไม่นานก็ตั้งเบสคลีนิค วงแบ็คอัพของเบสคลีนิค ประกอบด้วยมือกลอง Chaun

Horto n และกีตาร์ Ben Hauptmann ในช่วงนั้นเองที่ Chick Corea  กำลังหามือเบสที่จะร่วมวงในทัวร์คอนเสิร์ต Tal รู้ว่าเขาได้ยินผลงานของเธอมาก่อน


จึงส่งเดโมไป เธอดีใจมากที่ได้ร่วมใน Australian tour กับเขา จากนั้นก็ร่วมกับ Jeff    Beck, Vinnie Colaiuta และ Jason Rebello ใน Beck's summer Europeantour เมื่อกลับมายุโรปวงนี้ก็ได้เข้าร่วมCrossroads Guitar Festival ของ Eric

Clapton ในชิคาโก พฤศจิกายนปี 2007 Tal เข้าอยู่ในวงของ Jeff Beck  และออกแสดงเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ที่ Ronnie Scott's jazz club กรุงลอนดอนซึ่งมี   Eric Clapton มาแจมด้วย รวมๆแล้วนี่ถือเป็นปีที่ Wilkenfeld มีผลงานมากทีเดียว    Wilkenfeld ร่วมแสดงกับนักดนตรีมีชื่อเสียงหลายๆ คน เช่นHiram Bullock, Steve  Vai, Susan Tedeschi, the Allman Brothers Band, Herbie Hancock, and Jeff "Tain" Watts งานแสดงกับEric Clapton ที่ Crossroads Guitar  Festival ได้ออกอากาศช่อง PBS ในเดือนพฤศจิกายน น่าเสียดายที่ไม่ได้กล่าวถึงวงของBeck ในรายชื่อนักดนตรี และคนก็สับสนระหว่างเธอกับ Becky Godchaux หรือแม้กระทั้งลูกสาวของ Beckอย่างไรก็ตามในDVDคอนเสิร์ตก็ใส่รายชื่อของวงไว้ทั้งหมด และเบสโดยเธอ
                                                                                                 
                                                                                     ด้วยความปรารถนาดี และอารมย์อันสุนทรีย์
                                                                                                                                    bananabrn