วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

ร่มไม้ชายคา

บทนำ.ร่มไม้ชายคา (ตัวอย่างบล็อกฟรีที่กระผมพอเล่นเป็นนิดๆครับ.เล่าเรื่องบ้านชานเรือน แลร่มไม้ชายคาที่ตัวเองได้เคยอาศัย ทั้งของตนเองและบ้านเพื่อนฝูงที่น่าสนใจที่พอจะเปิดเผยได้ครับ)


          ร่มไม้ชายคา 2                 
                                                 
                            
                                                                                         

ชีวิต คนเมืองในสมัยนี้  บ้านใครมีที่ดินเหลือให้พอได้ปลูกผักปลูกต้นไม้ได้  นับว่าเป็นสวรรค์บนดินน้อยๆสำหรับคนที่ชอบความร่มรื่น  ที่ดินในเมืองนับวันจะแพงขึ้นทุกวัน จนเหมาะที่สร้างตึกสูงๆไว้แอบหลบซ่อนอาศัยอยู่เท่านั้น  สมัยก่อนตอนผมมากรุงเทพฯใหม่ๆ นานหลายปีมาแล้วเมื่อปีพศ. 2526   ผมได้มาพักอยู่ที่บ้านพักที่บ้านพัก กสท. เป็นบ้านพักพนักงานรัฐวิสาหกิจที่ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตุหลักสี่  เป็นบ้านเก่าแก่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง สไตล์บ้านโบราณสมัยก่อน ซึ่งก็ลงตัวพอดีกับหน้าตาและนิสสัยของผมสมัยนั้น เปิดเผย ไม่มีรั้ว ไม่มีล็อคบ้าน ไม่ล็อคหรือซ่อนแอบทรัพย์สินใดๆ


ซึ่งชาวบ้านเดิมๆในละแวกนั้นยังมีการทำนา  เลี้ยงควาย เลี้ยงปลา เลี้ยงฯลฯ ในหมู่บ้านแถวอาณาบริเวณนั้น ผมอยู่บ้านพักจนคนบ้านนอกอย่างผมอยู่ได้สบายๆ ปลูกต้นไม้เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา เลี้ยงเป็ด  เล่นกีตาร์ เป่าขลุ่ย สีซอ ฯลฯ ใครไปใครมานี่หายสงสัยว่าผมมาอยู่กรุงเทพฯได้ยังไง  เพราะใครๆก็รู้ว่าาผมเป็นคนรังเกียจกรุงเทพฯมาก ใครชวนก็ไม่ยอมมา  เพราะเคยวาดภาพไว้ตามจิตนาการ ตามหนังฉายที่เคยดูมาบ้าง ตามที่เขาเล่าให้ฟังบ้างว่ากรุงเทพฯมีแต่ตึกกับรถ  แล้วผมก็เป็นคนชอต้นไม้ ชอบคูคลองหนอง บึง สระฯ แล้ว
จะมาอยู่ได้ยังไง ใช่ไหมครับ


แต่พอมาอยู่จริงเมืองกรุงเทพฯแบบที่เขาว่าก็มีอยู่จริงในมืองชั้นในๆ แต่ที่เขาไม่บอก โอโห ออกมานอกเมืองหน่อย มันยิ่งกว่าบ้านต่างจังหวัดอีกครับ กรุงเทพฯมีมากมายหลายหลาก  คนบ้านนอกคอกนาต่างจังหวัดมาเจอเพื่อนๆที่ทำงานที่เขาอยู่นอกเมืองชานเมือง  มีต้นไม้เต็มสวน คูคลองร่องน้ำ แยกจากแมน้ำเจ้าพระยา แยกมาตามท้องร่องสวน  น่าอยู่มากครับ ยุงก็น้อย ร่มรื่น น้ำก็ยังใส วัดวาอาราม วงดนตรีไทยเดิมยังมีให้ชมมากมาย   จำความได้ว่าพึ่งมาเปลี่ยนเป็นแออัด น้ำเน่าทุกคูคลองน่าจะราวๆปีพศ. 2535 จนมาถึงปัจจุบันปี พศ. 2557 ไม่รู้ถึงที่สุดของรถยนต์มาก ที่สุดของน้ำเน่าแล้วยังไม่รู้  ผมเล่าต่อ.. มีรูปประกอบบ้างนิดหน่อย





รูปถ่ายบ้านพักไม้สักทั้งหลังที่หลักสี่ สมัย พศ.2529 ทีหาดูได้ยาก.. คลิกดูที่รูปเพื่อดูภาพขยายเท่าขนาดจริง

ชีวิตที่ผ่านมา  ผมถือว่าผมได้อาศัยอยู่ในบ้านพักที่เป็นบ้าน "เปี่ยมสุข " หลังแรกใน กทม.อย่างแท้จริง มีเพื่อนฝูงและน้องๆมากมายได้มาเที่ยวเสวนา ได้อาศัยหลบภัยมิได้ขาด (เรื่องที่มาอยู่วัดสุทัศน์ขอข้ามเพราะเป็นวัดไม่ใช่บ้าน )  อยู่ได้ 12 ปีบ้านพักก็มีมติให้ถูกรื้อตามกาลตามวาระ   โดยทางสำนักงานฯส่วนไหนก็ไม่รู้เพื่อสร้างอาคารใหม่ที่ทันสมัย   ผมจึงไปอาศัยอยู่ที่ใกล้ๆที่ทำงานชั่วคราว  จนกระทั่งบ้านหลังเดิมถูกสร้างเป็นแฟล๊ตสุดหรู  เป็นอาคารที่อยู่สมัยใหม่ตึกใหญ่โตดังรูปข้างล่าง ผมก็ย้อนรอยถอยกลับมาเพราะไม่รู้ว่าจะไปอยู่หนไหน  ได้ต่ออายุพลอยอาศัยหลวงไปได้อีก 10 ปี แม้นไม่ค่อยมีต้นไม้และทุ่งนาให้ชื่นชมแล้วก็ตาม  เสียดายบ้านเก่าๆนี้ไม่ค่อยมีรูป เพราะไม่มีกล้องให้ถ่าย


บ้านหลังเก่าผมหายไป ได้บ้านใหม่ทันสมัยอลังการณ์ ถ่ายพาโนรามา ดัดโค้งไปหน่อย จนตึก C1 ดูเอียงๆครับ


๑.บ้าน เปี่ยมสุข
จะตัดข้ามไปไม่ขอกล่าวถึงเรื่องเก่าๆ   จนกระทั่งต่อมาอีก 10 กว่าปี  กระผมได้ย้ายออกมาอยู่บ้านตัวเองเมื่อปี พศ. 2557 มาซื้อบ้านใหม่ที่เขาเล่าขานกันว่าแถวนี้น้ำไม่ท่วม  ซึ่งจริงๆบ้านหลังของผมเป็นแค่ทาวเฮาส์ครับ ซื้อตามฐานะที่พอทำได้ ไม่ดือดร้อน อยู่กันแค่ 3 คน พ่อ แม่ ลูก มีที่ดินข้างบ้านหน่อยนึง แต่ก็พอทำให้ร่มรื่นได้  แม้ว่าต้นไม้จะยังไม่โต และผมก็ปลูกพืชผัก ให้พอมีกินได้ตลอดทั้งปี ไม่ต้องซื้อหา เน้นเรื่อง สด ใหม่ปลอดสารพิษ หมู่บ้านนี้ชื่อ หมู่บ้านเปี่ยมสุข ผมตั้งความหวังว่า ณ สถานที่แห่งนี้ จะเป็นบ้าน เปี่ยมสุข ที่อิ่มสุข เป็นประตูสู่บูรพาทิศ ที่ผมจะเดินทางต่อไปครับ

นับป็นโชคชะตาโดยแท้ เพราะชีวิตที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดจะซื้อบ้านเลย  คิดแต่กลับบ้านต่างจังหวัด อยู่กับท้องทุ่งนา  แต่เมื่อถึงคราต้องตัดสินใจ เพื่อครอบครัว  เราก็ออกหาบ้านมือสอง หาอยู่ราว 3 เดือน แต่ยังตัดสินใจไม่ได้  เพราะเหตุผลหลายอย่างเช่น แพง ถนนแคบ ทำเลไม่ดี กลัวน้ำท่วม กลัวรถติด ฯลฯ จนวันหนึ่งคุณ จารึก วรรณจาโร พนักงานบริษัทไปรษณีย์ไทย เป็นญาติฝ่ายแม่ผมเองมาที่บ้านที่แฟล็ตมาบอกว่าไปซื้อบ้านอยู่กับพี่หลวงดีกว่า  ทำเลดี  น้ำไม่ท่วม  รุ่งเช้าอีกวันผมก็รีบมาดูและก็จองเลยครับ หมู่บ้านเปี่ยมสุข ย่านศรีสมาน อีกด้านคือ ติวานนท์ 56 กับเซลคนสวยที่ชื่อว่า น้องอี๊ฟ ครับ


ด้วยมองว่าน้ำไม่ท่วม ใกล้คลงประปา ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้ทางด่วน มีทางเข้าออกได้หลายทาง   และอีกอย่างที่สำคัญคือ  รอบๆหมู่บ้านยังเป็นสวน เป็นป่าละเมาะ มีวัว มีไก่ มีนก ให้เห็นมากมายครับ 








ที่นี้มาย้อนกลับไปที่คำว่า  " เปี่ยมสุข " เปี่ยมสุขก่อนหน้านี้เป็นชื่อๆหนึ่งที่ผมคิดกับภรรยาหลังจากที่การตั้งครรภ์ครั้งแรกเกิดแทงค์ไป น้อง ชุมฉ่ำ ชื่อที่ตั้งเอาไว้เธอมาไม่ได้  ต่อมาอีกปี ภรรยาตั้งท้องใหม่ เราก็หาชื่อใหม่ เลือกไว้มากมาย เป็นชาย ก็มี เปี่ยมสุข ชื่อนึง เป็นหญิงก็ อิ่มสุข ชื่อหนึ่ง แต่ไปๆมาๆ ก็ได้ลูกชาย ตั้งชื่อว่า บูรพา ชื่อเล่นว่า ปั้น ก็ขอเริ่มเป็นเรื่องส่วนตัวไปก่อนนะครับเพราะบ้านก็เป็นเสาหลักให้ครอบครัวจริงๆ  อย่างน้อยตายไปก็ได้ทำประโยชน์ต่อคนใกล้ชิด



                                             ความสุขและอนาคตของเด็กๆ ภาระกิจที่ต้องดำเนินต่อไปครับ

ส่วนพระตำหนักเปี่ยมสุข     สถานที่ๆเป็นที่ประทับแปรพระราชฐานของ    ในหลวงและราชินีที่ตั้งอยู่ใน
วังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์นั้น ผมพึ่งรู้จักทีหลังครับ  พึ่งมารู้ก่อนซื้อบ้านนี้ไม่กี่ปี  พอลูกพี่ชวนมาอยู่บ้านเปี่ยมสุข ผมก็รีบตัดสินใจเลย  พอมาถึงจริงๆ มีสระน้ำด้วย ลูกชายบอกว่า พ่อซื้อเลย ไม่ต้องคิดแล้ว เราจึงได้เริ่มต้นใหม่ในเมืองหลวง (ปริมลทล ) ณ ที่แห่งนี้ อีกครั้งหนึ่งครับ


                                            

                                                           
                                                            ดูบ้านเปี่ยมสุข 2 คลิก