วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ความสุนทรีย์

เรื่องนี้ แก่แล้วคิดถึงความหลัง คิดถึงทุ่งนาป่าโหนด ระโนด สงขลา หลวงแจ้ง หลวงยม หลวงเส้ง หลวงเปี๊ยก หลวงสิท ครูเขี้ยง พี่แดง ฯลฯ และพี่น้องอีกหลายๆ คน ณ ตำบลวัดสน กับคนดนตรีเวียนครก ตำหรับของแท้โบราณ

ความสุนทรีย์ อารมย์ดีๆที่ตีค่าเป็นเงินไม่ได้ เป็นสิ่งที่ออกมาจากข้างในของคนสมัยก่อนเก่า ที่โลกยุคใหม่ไม่ไคร่มีให้เห็น แต่ถูกซ่อนไว้อยู่เบื้องหลังนวัตกรรมแห่งยุคสมัย โลกยุคนี้ เป็นยุค ไอที ที่ไม่ต้องจินตนากาล หยิบไอโฟน ไอแพท แอนดรอยด์ขึ้นมา เอานิ้วจิ้ม รูด สบัด ก็ลากฝันปั้นแต่งให้เห็นกันจะๆ เพลิดเพลินเจริญตาอารมย์ใจ แต่....เมื่อครั้งสมัยก่อนเก่าเรื่องราวเป็นยังไง ต้องให้คนแก่คนเฒ่าเล่าให้ฟัง

   ภาพจากเพจ สตอฟอร์ยู (จากเฟสบุ๊ค )
สวัสดีครับเพื่อนพ้องน้องพี่ วางเรื่องดีไม่ดีเอาไว้ก่อน หากเพลานี้เป็นยามเช้าพึ่งตื่นนอน จิบกาแฟ ร้อนร้อน นั่งหย่อนกาย หยิบกับแกล้ม หนมครก กับปาท่องโก๋ หรือ จะเล่นสาโท หวากกระแช่ ตามแต่จะหา เหมือนคนบ้านผมแดนดินถิ่นชาวนา อำเภอระโนดสงขลามหานะคอน ตื่นแต่เช้ามืดก่อนจะออกไปทำนา เดินไปหาหวากหายาซดเสียก่อน เสวนากับเพื่อนพ้องในท้องทุ่งนาคอน ก่อนแดดร้อนจะย้อนเยือนมาเลียกาย

ทุ่งนาแถวๆสิงหนคร ภาพจากนัทที ศิริวัฒน์คนเกาะโคบ.. ภาพใหม่เดือน เมย. 2560

เป็นเรื่องสมัยก่อนตอนผมยังเด็กครับพี่น้อง ด้วยโลกที่สดใส และวัยที่สวยงาม     ยามชะแรแก่แต่ไม่ชรา แม้ว่าจะเหี่ยวยาน ย้อยห้อยไปบ้าง      ณ  วันนี้ของกระผม   นายกล้วยคนรวยแต่ไม่ให้ยืมตังค์ยังคาถาดีจากปลายโหนด       ให้ท่องว่า  ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่เครียด ไม่โมโห ไม่ให้ยืมตังค์ เพื่อความจีรังยั่งยืน สบายอุรา เพื่อภายภาคหน้าได้ผาสุขอยู่ยั้งยืนยง    และก็ขอบอกตรงๆว่าภาพข้างล่างก็เอาของเพื่อนมา แต่ว่าจำเวปไซด์ไม่ได้แต่ใช่นี่แหละแถวบ้านผม ปากลอ สทิงพระ  เชิงแส  ระโนด โหนดด้วน ควนชลิต หัวไทร เชียรใหญ่ บ่อล้อ ชะอวด เลน้อย ลำปำ  กาหรำ เกาะใหญ่ เกาะโคบ เกาะนางคำฯลฯ รอบๆเลสาปสงขลา   อาณาจักรสุดยอดแห่งความเจริญรุ่งเรืองอารยธรรมลุ่มน้ำ อารยธรรมชาวนา หนังลุง โนราเพลงบอก วัวชน ลักวัวฯครับ

ประเทศไทยนี้พี่น้องเราทั้งนั้น  ภาคไหนๆ  ก็คนไทยด้วยกัน   จะบ้านเธอบ้านฉันก็แผ่นดินไทย ประเทศนี้เป็นของเราเมาได้ทุกแห่งหน     เงินไม่มีแต่น้ำใจอย่าให้อับจน        เกิดเป็นคนพลั้งพลาดได้เป็นธรรมดา อย่าไปถือสาหาความกันให้มากนัก ให้รู้จักหักห้ามใจไม่ถือสา  จะเครียดกันไปทำไมให้เสียเวลา   เครียดขึ้นมาพระท่านว่าให้ตัดดอ   ท่านบอกว่าเป็นเรื่องจริงตัดดอทิ้งแล้วไม่มีเครียด 


น้ำตาลโตนดน้ำมาต้มเป็นน้ำผึ้งโหนด ส่วนที่ทำหวากก็แอบเอาไว้ น้ำผึ้งนี่เอาไปต้มทำเหล้าเถื่อนได้อีกครั


แต่ท่านก็เล่นคำหมายถึง ตัว ด เด็ก  ใครอย่าบ้าไปตัดจริงเดี๋ยวเกิดนึกได้เสียดายแล้วต่อกลับไม่ได้แล้วยุ่งตาย ตัดแล้วตัวเครียดไม่มีเหลือ   เหลือแต่เครียเมียก็ลา  ไปไม่คืนมา (เฉพาะกิ๊กเมียจริงยังอยู่ ) อยู่เป็นมหา.นานวันมันก็ เคลียร์ Clear สะอาด สว่าง สงบ  บรรลุธรรม ครับไม่รู้กลอนแมวอะไรเหมือนัน แต่งไปตามสไตล์ สบายไร้กฏเกณท์ใดๆ  แต่หลวงปู่เณรคำสงสัยจะตัดตัวเครียดไม่ได้ ท่านก็เลยเอวังเรียบร้อยด้วยประการฉะนี้และครับท่านปู่เณร เสียดาย

เถ้าแก่อดีตเดยเป็นเด็กแลวัวครับ
สมัยก่อนนี่ความสุนทรีย์ของ นักกวี นักกลอน ฯ นักประพันธ์ ศิลปิน ฯ มีให้เห็นเยอะครับ ธรรรมชาติยังไม่ค่อยมีอะไร ก็อาศัยจินตาการปรุงแต่งเอา คนบางคนนี้สามารถพูดเป็นกลอนได้โดยไม่ต้องคิด อย่างท่านสุนทรภู่ ศืลปิน ต้นยุครัตนโกสินทร์    หรือสมัยหลังอย่างศิลปินเพลงบอก       นายหนังตลุง ครูโนราแถวบ้านผม  

สมัยนี้ โลกเปลี่ยนไปเยอะ มีสื่อวัตถุอำนวยความบันเทิงมากมายมหาสาร  ศิลปินทำมาหากินไม่ค่อยได้ตังค์เท่าไหร่   หรือทำมาหากินยาก สร้างผลงานมาก็โดนก็อปปี้ได้ง่าย  แค่ปลายนิ้วด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้ขายได้ยาก       แต่ความสุนทรีย์ของศิลปินก็ถูกนำไปเขียนลงในเกมส์เยอะ       ผมก็เคยเห็น   ภาษาสมัยใหม่เขาเรียกว่า "มัลติมีเดีย" รูปแบบใหม่ๆแสงสี สวบงาม อลังการณ์ตระการตา   ถ้าไม่เขียนลงในเกมส์ก็อย่าหวังว่าจะสื่อให้เด็กรุ่นหลังได้เห็น ที่เป็นวิดีโอของวอลท์ดิสนี่เดี๋ยวนี้ไม่รู้ยังมีให้ดูกันหรือเปล่า แต่คงเอาไปขึ้นยูทูปจะหมดแล้ว


ภาพใหม่น้ำท่วม ระโนด มค. 2560  จาก ยาดอง ยาด้น คนพังขาม ใกล้บ้านผม  เป็นรุ่นน้อง อท. เทคโนฯ สงขลาผม 


ศิลปินนี่หากจะสื่อให้คนอื่นรู้ก็ต้องเค้นอารมย์ออกมาให้ได้    เหมือนทำน้ำกระทิ    จากมะพร้าวขูด ต้องขยำๆให้ดี  ใส่น้ำอุ่นเสียหน่อยแล้วขยำๆๆ กระทิออกดีครับ   ไม่เชื่อลองขยำๆๆดูออกจริง   คนเป็นศิลปินนี่ ก่อนบรรเลงอะไรนี่มักต้องเผาหัวก่อน เหมือนเครื่องยนต์ดีเซล       ผมเห็นตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กๆแล้ว หนังลุง โนรา  กาหลอ  เพลบอก  ต้องกรึ๊บๆ ก่อนทั้งนั้น  ไม่งั้นอารมย์มันไม่ออก

ยังจำได้ตอนมาเรียน รร.คณราษฎร์ฯ ยะลาชั้น มศ ๑   นานมาแล้ว   พบอาจารย์ท่านหนึ่ง     ท่านเป็นนัก
วาด นักปั้น นัก ? อีกไม่รู้ ขนาดอยู่โรงเรียนนั่งวาดรูปผมชอบไปดูท่าน เห็นท่านกรึ่มอยู่ทั้งวัน วาดได้สวย และเร็วมาก ไม่อยากเอ่ยชื่อ แต่นาม สกุลเปลี่ยนบำรุง  ลองเข้าไปดมดูใกล้ๆ กลิ่นผลไม้ละมุด นี่ฮ้อมหอม  แต่วันไหนถ้าไม่ได้กลิ่นผลไม้  อย่าหวังเลยว่าจะได้เห็นท่านวาดรูป
เป่าปี่กาหลอ (ขวาบน) จาก http://download.clib.psu.ac.th/datawebclib/exhonline/kalor/page6.html

สมัยนี้ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เห็นน้องบาว ผม ศิลปินของจริง คือ น้องปอยฝ้าย วงป้านกน้อยอุไรพร มาออก ทีวี ยังกรึ๊บๆ ก่อนน้องแกว่าไม่งั้นแกเล่นไม่ถูก      เก่งมากนะน้องปอยฝ้าย     คนแถวๆบ้านพี่น้องผมสกลนคร   ศิลปินเพื่อชีวิตเก่าๆนี่ก็หลายท่านที่        ผมมีโอกาศได้นั่งดื่มด้วย     ไม่เผาหัวเสียหน่อยแล้วเล่นได้ไม่เพราะหรือมันส์หรอกครับ  เสียงก็ไม่ดีไม่ดังพลังไม่พอ     อีกอย่างที่หายไปเด๊ไม่เจอนานแล้วเดี๋ยวนี้แทบไม่เห็น   คือวงดนตรีที่เรียกว่ากาหลอที่ใช้บรรเลงในงานศพสมัยก่อนเล่นกันหลายคน   เสียงช่างไพเราะเศร้าสร้อยดีแท้

พูดแล้วก็ให้นึกย้อนไปถึงสมัยที่ยังเรียนอยู่สงขลา เวลาดนตรีวงสตริงค์หรือชาโดว์มาเล่นที่วิกส์หรือโรงหนังเปรสซิเดนส์ ยังมาพี้กระป๋องแป้งออนเดอะวอเตอร์ กับชุดพิเศษเร่งด่วนทางมะละกอกับดินน้ำมัน ที่ผมอยู่บ่อยๆ  ผมก็ไม่ได้เป็นศิลปินกับเขาหรอกเป็นช่างซ่อมวิทยุ ทีวี อยู่ที่ร้าน  แต่เป็นคนมีอารมย์สุนทรีย์   หน้าตาดีแบบไม่เหมือนใคร  แแต่หน้าตาก็ยังตามอารมย์ไม่ค่อยทัน คาดว่าชาติหน้าคงหล่อน่ารักกว่านี้เยอะ คุยกันถูกคอครับกับศิลปินเขาก็เลยชอบ ชอบคนเพี้ยนๆ


ส่วนโคลงข้างล่างนี้แต่งไว้ตั้งแต่ปี 2546 สมัยที่ยังกรึ๊บๆอยูุ่ทุกวัน กรึ่มทั้งวันเหมือนกัน สมัยนี้ไม่เอาแล้ว ไม่ใคร่รอดแต่ก็ยังชอบ แต่ก็มีเอาบ้างเป็นบางครั้งทิ้งไม่ได้ ของชอบกันมาแต่โคตร


   
คลิปเพลงไหหวากของเอกชัยครับ ฟังเพลินดีผมตัดต่อเอง เพราะว่าชอบ ยินดีรับผิดชอบหากว่าผิดลิกสิทธฺ์ครับ ไม่ค่อยรู้เรื่องกฏหมายส่วนบุคคลในรูปคือ บีบีคิงส์ ครับนักกีตาร์ร็อครุ่นแรก คนอะไรไม่รู้โคตรน่ารัก ภาพนี้ยูทูปเอาออกมาให้เองครับ

คลิปเพลงไหหวากของเอกชัยครับ ฟังเพลินดีผมตัดต่อเอง เพราะว่าชอบ ยินดีรับผิดชอบหากว่าผิดลิกสิทธิ์ครับ ไม่ค่อยรู้เรื่องกฏหมายส่วนบุคคลในรูปคือ บีบีคิงส์ ครับนักกีตาร์ร็อครุ่นแรก คนอะไรไม่รู้โคตรน่ารัก ภาพนี้ยูทูปเอาออกมาให้เองไม่รู้ว่าเข้ากันได้หรือเปล่า




รำวงเวียนครก ความสนุกสุนทรีย์ในอดีต
ความสุนทรีย์ สมัยก่อนทางปักษ์ใต้ ที่เห็นๆก็มีผู้ใหญ่ ขับกลอนหนังตลุง ว่าบทโนราห์ เพลงบอก ตามงานศพ งานบวช งานแต่ง เล่นกันสนุกเป็นวัฒนธรรมชาวนา เหล้าไม่ต้องซื้อ ทำเองต้มเอง ทั้งเหล้าทั้งหวาก เมากันแพร็ดๆอยากกินกี่วันก็กินเข้าไป ไม่ใครว่า ลูกเมียไม่ยุ่งไม่เกี่ยว หน้าที่อย่างเดียวคือเมียหรือคนรับใช้เท่านั้น ต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าผู้ชายจะพัตนาจนถึงขั้นกลัวเมียได้เหมือนสมัยนี้ ไม่กลัวเมียแล้วจะไปกลัวใคร

ภาพนี้ดูจากลิงค์ที่อยู่ข้างล่างครับ
แถวบ้านผมเท่าที่นึกได้ สุดยอดแห่งความสุนทรีย์แนวสนุกสนาน ก็มีหลวงยม หรือนายนิยม มารยาท จริงๆก็นามสกุลอื่นแต่แกตั้งเอง ตามนักร้องหรือนักแต่งเพลงวงเพลินพรมแดนสมัยนั้น   หลวงเส้ง หลวงแจ้ง  หลวงเปี๊ยกมือทอมบ้า  หลวงยมนิสนุก ร้องเพลง เล่านิทาน โม้ เป็นคนเพื่อสังคมที่แท้จริง ไปทุกงาน พาคณะดนตรีบ้านนอกรำวงเวียนครก ของแท้ดั้งเดิม แท้แน่นอน ไปเล่นรำวง ตามงานศพ ส่วนมากเน้นงานศพงานแต่งงานบวชไม่ค่อยรับ  ถือว่าเจ้าภาพสบายใจดีอยู่แล้ว  แต่งานศพนี้ถือว่าเจ้าถาพโศกเศร้ามีหน้าที่ต้องไปปลอบโยน ไม่ว่าที่ไหนมีความเศร้าถ้าหลวงยมไปแล้วรับรอง เศร้าหายกลายเป็นสนุก

เห็นรูปนี้แล้วคิดถึงบ้านคิดถึงอดีต

หลวงแจ้งแกอาชีพหลักคือเลี้ยงเป็ดฟาร์มใหญ่ แต่เวลามีงานจะชอบร้องเพลง มีอยู่ 2เพลงไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยเพิ่ม  ได้ไมท์ แล้วจะร้องเพลงกับยอลูกสาวตัวเอง (แกมีลูกสาวหลายคน) จะชมอยู่นั่นแหละคนนั้นดีอย่างนั้น สวยอย่างนั้นฯ ใครยังลูกบ่าวก้ให้รีบไปขอ เดี๋ยวปีหน้าลูกแก่แก่แล้วไม่รับรอง จนลูกกสาวแกไม่ค่อยกล้าไปไหน  อายชาวบ้าน  

ส่วนหลวงเส้งแกก็ทำนา ทำสวนอยู่ข้างๆบ้าน ทีเด็ดคือแกเป็นนักเต้น  สไตล์นุ่งผ้าขาวม้า แบบแพ็ดจ้อน (คือปลิ้นๆม้วนๆที่ตรงเอว ) เหน็บมีดพร้า เสื้อไม่ใส่  แต่เอวกับก้นแกเด้งดี แบบบอกไม่ถูก  ใครไม่รู้จักเพลงรำวงต้องเฆี่ยนแล้วอธิบายยาก  แกขวัดเอวกับวาน เราเด็กๆนี่หัวเราะกันท้องแข็งเกือบตาย หลวงเปี๊ยกแกก็ตีทอมบ้าสุดยอดยังกะวงลาตินซันตาน่าเหมือนกัน  มีอีกหลายคนอธิบายไปยาวเป็นกิโล ผมก็จำไม่ได้ขืนเล่า ก็คงจะเติมไปเยอะ

ย้อนมาที่หลวงยมอีกที พอตอนหลังๆสังคมเจริญขึ้น แกถูกจับบ่อย ข้อหาต้มเหล้าเถือ่น ทำให้รัฐบาลขาดรายได้ ทั้งๆที่ทำกันมาแต่โคตร  แล้วแกก็ติดคุก ติดบ่อย เพราะออกมาก็ต้มเหล้าเหมือนเดิม หรือไม่ก็ทำหวาก ( ทั้งเหล้าและหวากทำมาจากน้ำจากงวงตาลโตนดทั้งหมดผ่านกรรมวิธีที่แตกต่าง)  คนบ้านนอกจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อ คนจับ คนสั่งจับก็บ้าพอกัน   แต่ก็จริงๆไม่ว่าเป็นไปตามยุค.... แกไม่ติดคุกที่ไหน บ้านผมเขาเรียกติดหราง

รูปนี้ใหม่ครับ นาน้องดอน พังขามเจดีย์งาม น้ำท่วมต้นปี 2560

วันที่แกออกมาตำรวจร้องให้ทั้งโรงพัก    หรือคุกไหนก็เถอะ   หลวงยมพ้นคุกเมื่อไหร่เจ้าหน้าที่ร้องให้เลย เหงา ไม่มีใครเล่าเรื่องสนุกๆให้ฟัง  ไม่มีคนตลกอารมย์ขัน  อารมย์สุนทรีย์ หายไป จิตใจห่อเหี่ยว ที่เล่ามาเรื่องจริงนะครับ ท่านต้องไปสืบดู มีอยู่จริงที่ บ้านวัดสน  ต.วัดสน อ.ระโนด จ.สงขลา นายนิยม วงศ์สว่าง  แต่ไมรู้คนที่รู้จักแกดีตายหมดแล้วยัง แต่ญาติๆยังอยู่เยอะ  หลวงยมตลกสุนทรีย์ คนที่อยู่ในใจตลอดกาล ผมเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกที่ไม่ประจำ คณะวงรำวงเวียนครก จากระโนดที่มีชื่อเสียงว่า บ้านผมม่ายไหรยังแต่ไผกับโหนดอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา คือยากจนนะครับ ไม่มีอะไรนอกจากไม้ไผ่กับต้นตาล


ภาพใหม่น้ำท่วม ระโนด มค. 2560  จาก ยาดอง ยาด้น คนพังขาม ใกล้บ้านผม  เป็นรุ่นน้อง อท. เทคโนฯ สงขลาผม 

เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งตอนทำงานใหม่ๆ เพื่อนผมคนต่างจังหวัดไปเยี่ยมน้าแก แถวๆวัดสน ระโนดที่ข้างๆบ้านผม กลับมาเล่าให้ฟังว่า ไปนั่งดื่มเหล้าอยู่กับเพื่อน2-3 คนแล้วเมาหลับไป   ได้ไม่นานเท่าไหร่ ตื่นขึ้นมาอีกทีไม่รู้ว่าคนมากันจากไหนเต็มไปหมดทั้งหญิงทั้งชาย มีกลองทอม ฉิ่ง ฉับ แกลลอนเหล้าเถื่อน กับแกล้มพร้อม  มารำวงเวียนครกกัน ( ครกจริงที่ใช้ตำข้าว)   3 วัน 3 คืน  ผมแทบไม่ต้องหลับตาเลยว่ามีใครมั่งที่มาเที่ยวเมาเที่ยวรำวงเวียนครกอยู่ตรงนั้น  รู้จักทั้งนั้น  พูดถึงแล้วยังหนุกเกินพี่น้องเอ๋ย เดี๋ยวนี้ผมสบายได้ทำงานรัฐวิสาหกิจ   ผ่านความเหนื่อยยาก ลำบาก ความกดดันมากมาย     กว่าจะสบายเหมือนทุกวันนี้      อย่าลืมนะครับว่างจากงานก็เติมฝันสร้างจินตนาการ  เที่ยวท่องล่องไป ข้างนอกข้างในยิ่งใหญ่ตระการตา

เอาไว้เท่านี้ก่อนนะครับ ค่อยมาเล่ามาแต่งใหม่ ยังทำไม่ได้เรื่องได้ราวทั้งวิธีการเขียนและวิธีจัดวาง  
รูปแบบบล็อกนี้ให้สวยงาม ลองโพสไปดูไม่รู้ว่าจะออกมายังไง  ผิดพลาดตรงไหนค่อยกลับมาแก้ไขครับ

มีรูปอยู่ ๓  รูปข้างบน เอามาจากเวปไซด์อื่นนะครับ ไม่ได้ปล้นภาพแต่คิดว่าเอามาช่วยเผยแพร่นะครับ

http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9530000040435
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=738872


วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

พงศา ชูแนม

พงศา ชูแนม คือใครคงมีไม่น้อยที่ไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยได้ยินชื่อ  ทั้งที่ปัจจุบันนี้มีชื่อเสียงโด่งดังพอสมควรในฟากฝั่งหนึ่งของประเทศไทย   ปัจจุบันนี้ (พศ.2557 ) พงศา เป็นหัวหน้าหน่วยอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำพะโต๊ะ ส่วนจัดการทรัพยากรต้นน้ำ สำนักอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  บางเวปไซด์เขียนถึง พงศาว่าเขาคือ "สืบ นาคะเสถียร แห่งต้นน้ำพะโต๊ะ"ก็มี




ปีพศ. 2556 พงศา ชูแนม     เข้าร่วมเป็นวิทยากรบรรยายแนวคิดการพัตนาชุมชนแบบยั่งยืน ตามเวทีต่างของ กปปส.เพื่อหวังปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง ในท่ามกลางความห่วงใยของผู้คนหลายคน ที่กลัวพงศาจะตกเป็นเหยื่อการเมือง เหยื่อของความขัดแย้ง  และเป็นห่วงชื่อเสียงที่เคยได้มาอาจสูญสิ้น  แต่ผมไม่คิดเช่นนั้นผมมองว่า พงศา ฉลาดพอที่จะเอาตัวรอด และสูงเกินกว่าที่จะงับเหยื่อล่อทางการเมือง ที่ผู้คนอาจคิดว่ามีค่า แต่สำหรับพงศาแล้วผมเชื่อว่าเขาไม่ได้มาเพื่อเป็นเหยื่อ เขามีแนวคิดที่ตรงกับใจผมพอดีอย่างลงตัว   ผมจึงเดินเข้าไปหาเขาและเรียกเขาว่า " นายหัว" อย่างภาคภูมิ ก็ได้แต่หวังครับว่านายหัวคงไม่เปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดี หวังให้เป็นบุคคลที่เป็นตัวอย่างที่ดี และเป็นที่พึ่งของชาวบ้าน ของชาติ ของโลกตลอดไป

โครงการณ์ธนาคารต้นไม้
พงศา ชูแนม เขาผู้นี้ไม่ได้เป็นเพียงนักอนุรักษ์ต้นน้ำเท่านั้น  แต่ยังมีแนวคิดช่วยคน ช่วยชาติ ช่วยโลก แนวคิดที่ปฏิบัติแล้วคือการปลูกต้นไม้ในใจคน ช้วยกันปลูกต้นไม้และปกป้องดูแลผืนป่าเขา จัดทำโครงการธนาคารต้นไม้  เพื่อให้คนช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และยังจัดตั้งศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนา คน บุคลากรสำคัญของชาติ ทำให้หลายหน่วยงานเห็นความดี และหัวใจที่ทุ่มเทของเขา จนได้รับรางวัลพระราชทานผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเยาวชน สาขาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และยังได้รับเลือกเป็นบุคคลหนึ่งในโครงการ "ค้นฅนดี ของรายการ "คนค้นฅน" ประจำปี พ.ศ.2550 รวมทั้งยังรับรางวัลอีกมากมาย ที่เป็นสัญลักษณ์ตอบแนความดีของผู้ชายคนนี้

ดูเรื่องโครงการธนาคารต้นไม้ ท่านสามารถเข้าไปอ่านได้จากเวปไซด์ของธนาคารฯ และ Face book Fanpage


         เวปฯธนาคารต้นไม้           FB ธนาคารต้นไม้      FBพงศา  ชูแนม      โลกสีเขียว


ธนาคารต้นไม้
มีการดำเนินการ มาตั้งแต่ปี 2549 ในจังหวัดชุมพร ก่อตั้งธนาคารต้นไม้สาขาแรกที่บ้านคลองเรือ ชื่อ ธนาคารต้นไม้สาขาคลองเรือ  และกลุ่มแกนนำธนาคารต้นไม้  ได้มีการดำเนินการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง จนสามารถตั้งสาขาธนาคารต้นไม้ มากกว่า 1,000 สาขา ทั่วประเทศ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย มีต้นไม้เกิดขึ้นไม่น้อยกว่า 10 ล้านต้นทั่วประเทศ  ธนาคารต้นไม้มีโครงสร้างองค์ เป็น 5 ระดับ คือ ธนาคารต้นไม้ระดับชาติ  ภาค จังหวัด   ลุ่มน้ำ และธนาคารต้นไม้สาขา เพื่อความสะดวกใน การจัดการ การบริหารและการประสานงาน

พะโต๊ะ จังหวัดชุมพร
ดินแดนแห่งภูเขาเขียว เที่ยวล่องแพ แลหมอกปก น้ำตกงาม ลือนามผลไม้” คือ คำขวัญประจำอำเภอพะโต๊ะ ผืนป่าในเขตอำเภอพะโต๊ะเป็นแหล่งต้นน้ำหลายสายที่ไหลคดเคี้ยวมาตามขุนเขาและสวนผลไม้ บางช่วงเป็นแก่งน้ำขนาดใหญ่ จึงมีการจัดกิจกรรมผจญภัยในคลองพะโต๊ะ ได้ตลอดทั้งปี แม้จะเป็นยามหน้าแล้ง  แต่ที่นี่ฉุ่มฉ่ำตลอด  โดยได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมจากหน่วยอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำ พะโต๊ะ ซึ่งได้รับรางวัลดีเด่นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยจาก ททท.




นอกจากกิจกรรมล่องแพ ที่นี่ยังมีกิจกรรมอื่นๆให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสอีกมากมาย อาทิการชมสวนผลไม้นานาชนิด เดินป่าศึกษาธรรมชาติ ชมน้ำตก พักแบบโฮมสเตย์ และเรียนรู้วิถีชุมชนซึ่งที่นี่ 
มีชุมชนที่อาศัย อยู่ร่วมกันกับธรรมชาติ ช่วยกันดูแล ปกป้องและอนุรักษ์ และยังได้ลิ้มรสอร่อยกับเมนูพื้นบ้านอาหารพื้นเมือง อิ่มอร่อยกับอาหารพื้นบ้าน เช่น แกงส้มหมูสามชั้นกับหยวกกล้วยป่า 
ไข่หลาม ยำยอดผักกูด ข้าวที่หุงด้วยกระบอกไม้ไผ่ ในทุกปีจะมีเทศกาลล่องแพพะโต๊ะ ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึง เดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะแก่การล่องแพมากที่สุด


ด้วยวิถีทาง ด้วยแนวคิด ที่ใช้ธรรมในการต่อสู้ และเป็นลูกศิษย์พระพุทธทาส  เขาปวรณาตัวเอง เป็นหมูป่าเขี้ยวเพชร ที่จะไปขวิด เอาหนังราชสีห์ที่คลุมร่างสุนัขออกมาด้วยความหาญกล้า ให้ผู้คนในแผ่นดินนี้ได้ประจักษ์ในวันหนึ่งข้างหน้า   โดยที่ไม่มีความเกรงกลัวต่อภัยอันตรายใดๆ   หวังว่าท่านผู้อ่านคงเข้าใจความหมาย ในปฏิธานของบุรุษผู้นี้

ประวัติโดยย่อ
พงศาเกิด  9 เมษายน 2507  ที่ตำบลป่าเว  อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี   บิดาชื่อ นายครัน ชูแนม มารดาชื่อ บุญเฝ้า ศรีสุวรรณ
จบการศึกษาจากโรงเรียนป่าไม้จังหวัดแพร่ รุ่น 27   ปริญญาตรีที่สถาบันราชภัฎสุราษฎร์ธานี สาขาพัฒนาชุมชน   ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ปี 2556

ตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 เป็นต้นมา พงศา ชูแนม ในบทบาทนักอนุรักษ์  ได้ริเริ่มโครงการอนุรักษ์ธรรมชาติ จนถึงปัจจุบันโครงการในความคิดริเริ่มของเขามีนับไม่ถ้วน         รวมทั้งโครงการที่ช่วยพัฒนาฟื้นฟูคุณภาพชีวิตชาวบ้าน เด็กนักเรียน ส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์ จัดอบรม ค้นคว้าวิจัย และอื่น ๆ อีกมากมาย แม้บางครั้งเขาจะต้องต่อสู้กับกลุ่มมีอิทธิพลในท้องที่หรือขัดแย้งกับข้าราชการท้องถิ่น จนเคยถูกจำคุก และถูกปล่อยตัวออกมาเพราะไม่มีความผิดมาแล้ว

เหตุที่ต้องออกมาต่อสู้

เหตุที่ต้องออกมาต่อสู้กับมวลมหาประชาชน    ครั้งนี้เพราะต้องการสร้างความชอบธรรมให้แผ่นดิน
โดยอ้างอิงเอาปริศนาธรรมในเรื่องรามเกียรติ์เมื่อ 1600 กว่าปีมาแล้ว    โดยความตอนหนึ่งเขียนถึง

หิรัญยักษณ์ที่มีฤทธิ์สามารถม้วนแผ่นดินเก็บได้    พระนารายณ์จึงต้องแปลงร่างมาเป็นหมูป่าเพื่อที่จะคลี่แผ่นดินกลับคืน     โดยพงศา เปรียบหิรัญยักษณ์คือผู้มีกำลังมาก มีอำนาจมากที่สามารถเก็บกกวาดแผ่นดินทั้งหมดใส่ไว้ในกระดาษ   คือโฉนดทีดิน   หรือใบครอบครองอะไรก็ได้ โดยถือว่าพระออิศวรคือระบอบประชาธิปไตย คืออณุญาติให้คนฉลาดสอพลอ ปลิ้นปล้อน สามารถม้วนแผ่นดินเก็บไว้เป็นของตัวเองได้ร้อนถึงพระนารายณ์ ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงไว้แห่งคุณงามความดี    ท่านจึงแปลงร่างมาเป็นหมูป่านอนกลางดินกินกลางทราย เป็นตัวแทนของคนธรรมดารวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับอำนาจรัฐ จนได้ชัยชนะในที่สุด




    ข้อมูลบรรยายอื่นๆ จากโพสทูเดย์                                                  
  ดู พงศา ชูแนม ๒ พิมม์เขียวพัตนามนุษย์ฉบับพระพุทธเจ้า

วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

พงศา ชูแนม ๒

พิมพ์เขียวพัฒนามนุษย์ฉบับพระพุทธเจ้า ๑    โดยพงศา ชูแนม

เรื่องพิมม์เขียวการพัตนามนุษย์ฉบับพระพุทธเจ้านี้   เป็นข้อเขียนของคุณพงศา ชูแนม  ที่ได้เขียนลงโซเชียลฯอย่างเฟสบุ๊ค ฯ และบรรยายตามที่ต่างๆ ผมเห็นว่ามีประโยชน์   จึงได้ขออนุญาติเอามาเขียนลงในบล็อกเพื่อให้อ่านงาย โดยแทรกรูปภาพและเน้นสีสีตัวอักษรให้พอดูได้ครับ
ส่วนคุณพงศา ชูแนม คือใครมาจากไหน ติดตามได้จากลิงค์  พงศา ชูแนม ครับ




เหตุแห่งทุกข์

ทุกข์ที่เกิดทำให้ชนบทล่มสลายการเกษตรพึ่งตนล้มเหลว เกิดสังคมเมืองอยู่ตึกสูง ซึ่งเปรียบเสมือนหลุมดำบนโลกมนุษย์ ภายใต้อำนาจการควบคุมของระบบทุน และทำให้มนุษย์ หมดอิสระภาพ พื้นฐานคือ อาหาร และที่ดิน
                                                                                                     
                                                      ที่มาของพิมพ์เขียว (มรรควิธี)
อ.พุทธทาสได้เสนอปณิธาน ๓ ข้อ คือ
๑. ทำความเข้าใจในศาสนาแห่งตน
๒. ทำความเข้าใจในศาสนาระหว่างศาสนา ซึ่งที่สุดแล้ว จะรวมเป็น ศาสนาเดียว คือ ศาสนาพระศรีอริยะเมตไตร
๓. จงหลุดพ้นเสียจากวัตถุนิยม หมายถึง ประกาศจุดยืนชัดว่า ศาสนานั้นไม่เป็นศัตรูแก่กัน; ศัตรูของศาสนา คือวัตถุนิยม ซึ่งคือระบบทุนนิยมตะวันตกนั่นเอง
อ. พุทธทาส เขียนไว้ว่า “ศีลธรรมไม่กลับมาโลกาวินาศ”




พระพุทธเจ้า ตรัสว่า “มนุษย์เท่าเทียมกันได้ก็โดยธรรม”; ไม่เคยตรัสว่า มนุษย์เท่าเทียมกันก็โดยการมีชาติ

พระพุทธเจ้า การทำบุญ ที่เกิดประโยชน์ทั้งกลางวัน กลางคืน เกิดประโยชน์ทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง เบื้องปลาย คือ ทำ ๓ ประการ ซึ่งการทำบุญแปลว่า ทำให้โลกนี้ดีขึ้น ทำบาป ทำให้เลวลง

๑. สร้างที่พักริมทางให้ผู้ผ่านทางได้พัก
๒. ขุดบ่อน้ำให้ผู้ผ่านทางได้ดื่มกินให้ชุ่มเย็น
๓. ปลูกต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาแก่สรรพสิ่ง
รวมครบทั้งสามข้อ น่าจะหมายถึง ต้นไม้ เพราะต้นไม้ให้ทั้งที่พัก ร่มเงา และน้ำแก่สรรพสิ่ง

พระเจ้าอยู่หัว “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม” เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม

ธรรม    หมายถึง การตั้งไว้ ทรงไว้ ซึ่งความปกติแห่งธรรมชาติอันถูกต้อง หมายถึง การไม่เอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่น ไม่ยอมให้ผู้อื่นเอาเปรียบ เบียดเบียนตัวเรา

เรื่องในโลกแยกตามหลักศาสนามี ๓ เรื่อง

๑. เรื่องของมนุษย์ ได้แก่ สังคม
๒. เรื่องของธรรมชาติ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม
๓. เรื่องระหว่าง มนุษย์กับสิ่งแวดล้อม คือ เศรษฐกิจ
หัวข้อเรื่องในโลกนี้จึงมี๓ อย่าง คือ สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม (ตามหลักศาสนา)
เศรษฐกิจ /เศรษฐศาสตร์ ; เศรษฐประเสริฐ หมายถึง เครื่องมือ อันประเสริฐที่จะทำให้การอยู่ร่วมกันระหว่าง มนุษย์กับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

    พิมพ์เขียวพัฒนามนุษย์ฉบับพระพุทธเจ้า  ตอนที่ ๒   โดยพงศา ชูแนม
                                 
                                                       

ตัวแบบการพัฒนาสังคมมนุษย์  ที่แต่ละศาสนากำหนดไว้ในคำสอน (นิโรธ ; ความหลุดพ้น)

มุสลิม  ยุคสิ้นโลก คือสิ้นภาวะโลภ โกรธ หลง สู่ภาวะ ภารดรภาพ
คริสต์   ยุคยูโธเปีย หรือแมตซิอาร์
พุทธ    ยุคพระศรีอริยเมตไตร หรือ พระศรีอริย์

  สิ่งที่ทั้ง ๓ ศาสนา  คล้ายจนเหมือนกัน ได้แก่

๐  การต่อสู้ทางจริยธรรม เพื่อ ดำรงไว้ซึ่งความเป็นธรรม ให้ธรรมะชนะอธรรม
๐  เคารพ ศีลธรรม   ไม่เบียดเบียน/ประทุษร้ายผู้อื่น/ไม่ให้ผู้อื่นประทุษร้ายตัวเรา
๐  เคารพธรรมชาติ  ไม่สะสมทรัพย์ไม่เคารพสิ่งชั่วร้าย    เมตตา/เสียสละ/การให้


ตัวแบบ (Model) การพัฒน  สังคมมนุษย์สู่ยุคพระศรีอาริย์ (มรรควิธี)

ซึ่งเห็นได้จากบทบันทึกในภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง และบทบันทึกในไตรปิฏก โดยเฉพาะในวัดแถวอีสานตอนกลางได้แก่วัดหนองฟ้า อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด

ภาพ ๑-๑๓ ว่าด้วยกัณฑ์เทศน์ต่างๆในพระเจ้าสิบชาติ (เต ชุ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว) ในภาพจิตรกรรมฝาผนัง  ภาพที่ ๑-๑๓ กล่าวคือ การลุกขึ้นต่อสู้ทางจริยธรรม / ความเด็ดขาดชัดเจน         ความเพียรอย่างบริสุทธิ์ และปัญญาอย่างไม่ลังเลสังสัย

การให้ การเสียสละอย่างไม่เหลือ
ภาพที่ ๑๔ ภาวะรู้แจ้งแห่งพุทธะ/ ตื่นรู้       ภาพที่ ๑๕ ภาพสังคมในศาสนาพระศรีอริย์

บ้านเมืองอยู่ตรงกลาง

ประชาชนพออยู่พอกินต้องการสิ่งใดสอยเอาจากต้นกัลปพฤกษ์
มีต้นกัลปพฤกษ์อยู่ ๔ มุมเมือง (๔ต้น)

ความหมาย ; การพัฒนาสู่ยุคพระศรีอริยเมตไตรต้องต่อสู้ทางจริยธรรม เพียรอย่างบริสุทธิ์ด้วยปัญญา เสียสละให้ อย่างไม่เหลือ จะสู่ภาวะการ ตื่นรู้ และปลายทางจะเกิดสังคมมนุษย์ที่มีต้นไม้ ธรรมชาติห้อมล้อมทุกทิศทาง และเกื้อกูลตามผาสุกให้แก่มนุษย์โดย ไม่ต้องหาจากที่อื่น ได้แก่ อาหาร พลังงาน ปัจจัยการผลิต ชุดความเชื่อ ความรู้ตลอดจนปัจจัย ๔ อันพอเพียง และยั่งยืนของสังคมมนุษย์

    พิมพ์เขียวพัฒนามนุษย์ฉบับพระพุทธเจ้า โดยพงศา ชูแนม ตอนที่ ๓

วิธีการ
ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเปลี่ยนสู่สังคมอาริยะ (อริยะ มากจาก อริ+ยะ อริ แปลว่า ศัตรู ,
ข้าศึก ส่วน ยะ แปลว่า ไปไกล รวมความแปลว่า ทำให้ข้าศึกไปไกล หรือไกลจากข้าศึก คือ ภาวะ โลภ โกรธ หลง หรือ ทุนนิยม)

รูปธรรม ( มรรควิธี)
๑. สังคม=ตั้งสภาประชาธรรม ทุกระดับพิจารณาความเป็นธรรม ซึ่งใช้หลักนิติธรรมควบคู่ เพื่อตรวจสอบกฏหมายรัฐบัญญัติ
๒. สิ่งแวดล้อม=ตรวจสอบวิศวกรรมมนุษย์ เพื่อไม่ให้กล้ำเกินวิศวกรรมธรรมชาติ
๓. เศรษฐกิจ=ออกกฏหมายสร้างเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เป็นทางออกใหม่ โดยคาร์บอน หรือ มูลค่าต้นไม้เป็นทรัพย์ตามแนวทางธนาคารต้นไม้

ผล (นิโรธ)
๑. สังคมเป็นธรรม เรียนรู้สิ่งที่เป็นธรรม เคารพความเป็นธรรม ความโลภน้อยลง ;ตรวจสอบการสะสมด้วยหลักธรรม
๒. สิ่งแวดล้อม ถูกรุกรานน้อยลง และพัฒนาสมบูรณ์ขึ้น
๓. เศรษฐกิจ เกิดเครื่องมือที่เท่าเทียมสร้างสรรค์ สะสมมากไม่ผิดบาป แต่ยังเป็นผลดีอีก คือสะสมคาร์บอนในต้นไม้

- ประชาชนมีอาหาร และที่ดิน พึ่งตนได้ อันเป็นอิสระพื้นฐานของมนุษย์
- สังคมชนบทเข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ ทั้งอาหาร พลังงาน ในปัจจัยการผลิต ชุดความรู้ ทำให้คนเมืองกลับไปชนบท คนเมืองน้อยลง สุขขึ้น

                                                                         สวัสดีครับ
                                                                         นำเสนอโดย .. ปรีดี ยืนยง