วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

ไก่ขัน

มาอยู่บ้านใหม่ที่ จ.นนทบุรีได้ยินไก่ขัน รอบๆหมู่บ้านทั้งวัน   จึงขอเเล่าเรื่องไก่ขันหน่อยครับ เมื่อครั้งผมยังเป็นเด็กอยูบ้านอก   ยามรุ่งถึงเช้าจะได้ยินเสียงไก่ขันปลุกทุกวัน เพราะยังไม่มีนาฬิกา  

บ้านไหนมีนาฬิกาแสดงว่าเป็นบ้านข้าราชการ หรือเป็นผู้มีฐานะดี บ้านเดิมผมอยู่ไม่ไกลทะเลเท่าไหร่แต่ก็ไม่เคยออกไปดู เพราะขี้เกียจ กลัวผีด้วยเพราะมันมืดมากๆไฟฟ้าไม่มี   บ้านผม อ.ระโนดสงขลาสมัยนั้น ทุกบ้านมักจะมีไก่ มีวัว มีตัวใดตัววหนึ่งบ้านใครขันขึ้นมา   ไก่วัยรุ่น จะขันตามกันเป็นทอดๆ อาจมีไก่แก ไ่กหนุ่มใหญ่ขันสอดขึนมาบ้างเป็นบางครั้ง  เป็นไก่บ้านหรือพันธ์ไก่ชนทั้งนั้นนะครับที่ขัน ไก่พันธ์เนื้อของบริษัทซีพีไม่รู้ว่าขันได้หรือเปล่า ผมก็ไม่ได้สังเกตุ




ผมก็ไม่รู้ว่าความหมายคืออะไร พวกเขาสอนหรือฝึกงานกันก็ไม่รู้เหตุที่เลี้ยงไก่กันทุกบ้านคิดว่าคงมีไว้กิน หรือเพื่ออะไรก็แล้วแต่ๆมีอย่างหนึ่งคือพ่อบ้านมักจะชอบชนไก่ ชอบชนวัว เมื่อเสร็จหน้านา เมื่อก่อนทำนาปีละครั้งเสร็จหน้านาก็มีเรื่องบรรเทิงอย่างเดียว บางท่านเป็นนักปราชญ์ก็ได้ คิดค้นพัตนางานศิลปทั้งหลายไว้เป็นอารยธรรมชาวนาเป็นส่วนใหญ่เพราะมีเวลาว่าง  พวกชาวสวนยางมักไม่ค่อยมีเรื่องราวมากมาย เพราะยางตัดได้ทุกวันหากฝนไม่ตก  จึงเป็นเรื่องต้องหาตังค์ไม่มีเวลาจะมายุ่งกับงานศิลป์เท่าไหร่ 

เสียงไก่ขันตอนเด็กๆจะขันให้ตายยังไง ได้ยินมั่งไม่ได้ยินมั่งแล้วก็หลับต่อเพราะคววามเคยชิน  ต้องรอพ่อแม่หรือยายปลุกอยู่ดี   ไก่ขันเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้  ส่วนใหญ่ขันตอนตี ๓ ตี ๔แต่บางทีก็ขันแต่ตี ๑ (สังเกตทีหลังตอนมีนาฬิกาแล้ว) ถามยายว่าทำไมมันขันเร็ว   ตอนนั้นยายบอกว่า ไก่ขันเร็วเพราะน้ำขึ้นและมีสาเหตุมาเพราะข้างขึ้นข้างแรมด้วย สรุปว่าจะเอาเสียงไก่เป็นเสียงปลุกคงได้แต่สมัยนั้น  สมัยนี้ใช้ไม่ได้แน่นอนครับ เพราะธุระตอนไหนก็ตอนนั้นนาฬิกาดีกว่า





คนดังที่เชี่ยวชาญเรื่องไก่ชนในเมืองไทยสมัยผมเริ่มจะเป็นหนุ่ม ก็มี คุณครู ชิงชัย มงคลธรรม สส.กาฬสิน กับ คุณเสนาะ เทียนทอง สส.สระแก้วและคนที่ดังกว่าเพื่อน คือแอ๊ด คาราบาว ดังกว่าเพราะเป็นศิลปิน  แต่เพลงไก่ชน นี่พี่สีเผือกออกมาก่อนพี่แอ๊ดจะหันมาเลี้ยงไก่ชน ตั้งแต่สมัยผมยังหนุ่มๆ

มาดูเรื่องไก่ขันที่เคยอ่านเวปไซด์พี่น้องชาวอิสานเขียนไว้ เห็นว่ามีคุณควรแก่การบันทึกไว้ครับ  ลองอ่านดูครับ


ความหมายเมื่อไก่ขัน จากเวปไซด์ออนซอน 
http://www.onsorn.com/forum/index.php?topic=11425.0
« เมื่อ: 06 ตุลาคม 2007 »


คนอิสานสมัยก่อนยังไม่มีนาฬิกาดูเวลาในเวลากลางคืน ก็จะอาศัยดูดาวบนฟ้า เช่น ถ้า " ดาวซ้างฮ่วยงา ดาวปลาฮ่วยเงี่ยง ดาวไก่น้อยพากแม่เมือนอน " ก็แสดงว่าดึกมากแล้ว คือดึกเกินเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว ส่วนคนที่นอนอยู่ในห้องนอน ก็อาศัยฟังเสียงไก่ขันบอกยามดังนี้

1.ไก่ขันกก คือไก่ขันครั้งแรกในเวลากลางคืน ซึ่งไก่จะขันครั้งแรกหรือขันกกทุกคืนในเวลาระหว่างเที่ยงคืนถึงตีหนึ่ง ไม่ว่าวันนั้นจะเดือนมืดหรือเดือนหงาย

2.ไก่ขันกลาง เป็นเสียงไก่ขันครั้งที่สองของแต่ละคืน ซึ่งจะตกเวลา 02.30น. ถึง 03.00น.

ลักษณะเสียงไก่ขันในยามขันกก และยามขันกลาง ไก่จะขันอยู่ประมาณตัวละ 2 - 3 ครั้งติดต่อกัน แล้วทุกตัวจะหยุดขัน


br 

3 .ไก่ขันซั้น เป็นเสียงไก่ขันครั้งที่สามของแต่ละคืน ซึ่งจะตกเวลา 04.00 - 0430 น.
ลักษณะเสียงไก่ขันซั้นแต่ละตัวจะขันถี่กระชั้นติดต่อกันเรื่อยๆไม่หยุดเหมือน ขันกก และขันกลาง

4 .ไก่ขันฮวย เป็นไก่ขันต่อเนื่องจากไก่ขันซั้น ซึ่งจะตรงกับเวลา 05.00 น.เสียงไก่ขันจะขันต่อเนื่องกันไปอย่างเว้นเป็นระยะไปจนถึงสว่าง

แต่ถ้าไก่ขัน ตอนหัวค่ำเวลาประมาณ 06.30 - 20.00 น. แสดงว่าสาวในชุมชนนั้นๆหรือ สาวๆในคุ้มนั้นที่มีบ้านเรือนอยู่ในระแวกที่ไก่ขัน เวลา 06.30 - 20.00 น. จะท้องไม่มีพ่อ หรือจะท้องก่อนวัยอันควร หรือชิงสุกก่อนห่ามนั่นเอง




คลิปการต่อไก่ ประเทศไหนไม่รู้ การต่อไก่ หรือต่อนกนี่ ไม่เคยทำไม่เคยศึกษา  ดูแล้วก็เพลินดี วิถีชาวบ้านแบบเดิมๆครับ  


วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ทองใส ทับถนน

ครู ทองใส ทับถนน เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2490 ที่บ้านหนองกินเพล ตำบลหนองกินเพล อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี


เป็นบุตรของนายปิ่น และนางหนู ทับถนน โดยสืบเชื้อสายศิลปินจากนายปิ่นผู้เป็นพ่อซึ่งมีความสามารถด้านหมอลำพื้นบ้าน และการแสดงห...นังบักตื้อ (หนังปราโมทัย)

ครูทองใส ทับถนนเริ่มฝึกดีดพิณเมื่ออายุ 4 ปี โดย มีครูบุญ บ้านท่างอย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นผู้ฝึกสอนการดีดพิณเป็นค...นแรก จนอายุได้ 8 ปี จึงได้เล่นพิณประกอบคณะหมอลำของนายปิ่น ทับถนน ผู้เป็นพ่อ จากนั้นจึงได้เรียนรู้ลายพิณโบราณกับครูบุญชู โนนแก้ว แห่งบ้านโนนสังข์ อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ศิลปินมือพิณพื้นบ้านตาพิการ เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จึงได้ตระเวนเล่นดนตรีกับคณะหมอลำปิ่น ทับถนนเรื่อยมา

ครั้น ย่างสู่วัยหนุ่มเมื่ออายุได้ 21 ปี ครูทองใส ทับถนน ได้เข้าประจำการเป็นทหารเกณฑ์ที่กองพันทหารปืนใหญ่ ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จึงได้มีโอกาสเป็นนักดนตรีวงดนตรีสากลประจำกองพันทหารปืนใหญ่ ได้นำพิณมาประยุกต์กับดนตรีสากลสมัยใหม่ และเรียนรู้การเล่นดนตรีตามแบบสากลนับแต่นั้นเป็นต้นมา



หลังพ้นเกณฑ์ทหารในปี 2513 ครูทองใส ทับถนนจึงกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิดและได้สมัครเข้าเป็นนักดนตรีคณะ “ลูกทุ่งอีสาน” ของครูนพดล ดวงพร ภายใต้ฉายา “ทองใส หัวนาค” ทั้งนี้เพราะมีพิณแกะสลักเป็นรูปพญานาคเป็นเครื่องดนตรีคู่กาย

ต่อมาในปี 2514 ครูนพดล ดวงพร ได้รับเชิญให้นำวงดนตรีลูกทุ่งอีสานประยุกต์ไปแสดงถวายหน้าพระที่ประทับที่ เขื่อนน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชทานปริญญาบัตรแก่นัก ศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น

ครูนพดล ดวงพร ร่วมกับครูทองใส ทับถนน ได้ถวายพิณแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงตรัสว่า “เพชรนี้เป็นเพชรน้ำเอก” ของเครื่องดนตรีอีสาน ยังความปลื้มปิติแก่นพดล ดวงพร และชาวคณะเป็นอย่างมาก จึงได้เปลี่ยนชื่อวงดนตรี “ลูกทุ่งอีสาน” พิณประยุกต์ มาเป็นวง “เพชรพิณทอง” ซึ่งถือว่าเป็นนามมงคลอันเกิดจากการถวายพิณในครั้งนั้น

ต่อมาครูทองใส ทับถนนได้นำเอาคอนแทรกไฟฟ้ามาประกอบกับพิณ และถือว่าเป็นพิณไฟฟ้าตัวแรกของเมืองไทย และได้เล่นดนตรีกับวงดนตรี “เพชรพิณทอง” ตลอดมาตั้งแต่ปี 2514 จนได้ยุติวง แต่มนต์ขลังเสียงพิณของครูทองใส ทับถนน ยังดังก้องอยู่ในหัวใจของแฟนเพลงตลอดมาใน การทำงานนั้นครูทองใส ทับถนน ได้ยึดมั่นในคุณธรรม 4 ประการ ในการทำงานคือ ความเพียร ความอดทน มีน้ำใจ และมีความซื่อสัตย์สุจริต ตลอดทั้งมีหลักหารในการทำงานให้มีความสุขสนุกสนานกับเพื่อนร่วมงาน ผสมผสานชีวิตทำงานกับครอบครัว พัฒนางานฝีมืออยู่เสมอ และถ่ายทอดความรู้โดยไม่ปิดบัง

ผล จากการสั่งสมประสมการณ์ในการเล่นพิณและให้ความช่วยเหลือสังคม ชุมชน ตลอดมาจึงทำให้ผลงานของครูทองใส ทับถนนเป็นที่ประจักษ์เรื่อยมาจนได้รับการประกาศเกียรติคุณดังนี้

ปี 2543 ได้รับการคัดเลือกให้เป็นศิลปินดีเด่นสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีอีสาน) จากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ

ปี 2544 ได้รับประกาศเกียรติคุณผู้ให้การสนับสนุนกิจกรรมวัฒนธรรมดีเด่น จากสำนักพัฒนาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เขตการศึกษา 10

ปี 2545 ได้รับการคัดเลือกให้เป็นครูภูมิปัญญาไทย รุ่นที่ 2 ปี 2545

ปี 2548 ได้รับปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ดนตรีศึกษา) จากมหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี
http://www.youtube.com/watch?v=Zaic6yBORGs&feature=related