วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เพลิน พรมแดน

โปสเตอร์ภาพยนต์
ผมจะเล่าเรื่องเพลงสมัยผมเล็กๆ ก่อนนี้ก็นานมาแล้วประมาณ 50 ปีที่แล้ว บ้านนอกยัง ไม่มีวิทยุยังไม่มีเพลงฟัง  ได้ยินแต่พระสวดตามวัด หนังตลุง มโนรา และวงกาหลอที่เล่นตามงานศพ เพลงบอกที่ว่ากันสดๆ  เสียงดีครับคนสมัยนั้น 

ต่อมาที่บ้านผม ก็มีคนสร้างเครื่องไฟ (เครื่องขยายเสียง บวกเครื่องปั่นไฟ ) ทีจำได้ก็บ้านน้าปอง กับบ้านน้ารุ่น เป็น 2 พี่น้อง บ้านนี้ซื้อรถฟอร์ดไถนา คันใหญ่ๆมารับจ้างก่อน ต่อมาบ้าน ลุงไข่ ก็สร้างโรงสี ที่โรงใหญ่ระบบพิสดารพันลึกสำหรับเด็กๆสมัยนั้น มีเครื่องปั่นไฟที่ต้องใช้มือหมุนเพือสตาร์ทเครื่อง ความรู้สึกสมัยนั้น การทำงานไม่ว่าโรงสี หรือมีเครื่องไฟ นับว่าเท่ห์สุดๆ เครื่องเทปที่เปิดก็เป็นแบบ 2 ม้วนใหญ่ๆ เพลงที่มีก็ เพลิน พรมแดน ไวพจน์ เพชรสุพรรณ สุรพล สมบัติเจริญ และไม่แน่ใจว่ามี ผ่องศรี วรนุชด้วยหรือเปล่า ผ่านมาไมากี่ปีแถวบ้านผมก็มีวงดนตรีแบบบ้านๆประเภทรำวงเวียนครก มีเครื่องดนตรี 2-3 ชิ้น โต้โผใหญ่ชื่อ คุณนิยม วงศ์สว่าง แต่เรียกตัวเองว่า นิยม มารยาท ผมงงอยู่หลายปีว่ามาจากไหน  พึ่งมารู้ก็ตอนทำงานแล้ว นิยม มารยาท มาจากวงอาจารย์ เพลินนี่เอง

ฟอร์ดไถนาปัจจุบันยังเป็นทรงเดียวกัยสมัยก่อนโน้น
 เพลงลูกทุ่ง ที่เปิดเทปสมัยนั้น ฟังๆดูน่าจะมีแต่เสียทอมบ้า ฉิ่ง และฉาบ อย่างอื่นรู้สึกว่ายังไม่มี   ผมจำได้แต่เพลง หลวงแจ้ง (นายแจ้ง คิดถูก) แกร้องเพลงตามงานวัดงานตามบ้าน (แต่งงาน งานศพ งานบวช ฯ ) เห็นมีร้องอยู่เพลงๆเดียว(เพลงแรกในชีวิตที่ผมได้รู้จักในโลกนี้) ที่ร้องว่า "  แฟน แฟน แฟน แฟน อยู่คนละแดน เรียกว่าแฟนสุพรรณ จดหมายที่ต่อถึงกัน นั่นแหละคนนั้นเขาเรียกกันว่าแฟน ฯลฯ " ไม่รู้ว่าชื่อเพลงอะไร จะไปถามหลวงแจ้ง แกก็ตายไปนานแล้ว  ก็น่าตายอยู่แระ ผมเองก็ ๕๔ แล้ว ถ้าไม่ตายป่านี้ก็คง ๙๐ ปี

เพลงเพลิน พรมแดน มีเยอะครับเยอะมากๆพอๆกับเพลงไวพจน์ เพชรสุพรรณ  แต่พึ่งมาดังมากๆเมื่อมาเริ่ม ออกเพลงพูดแบบแทรกตลก     แต่หากคนฟังเพลงจริงลองเงี่ยหูฟังแบล็คกราวด์   มีเพลงซิมโฟนี่ชั้นสูง เด่นๆก็เยอะครับ พอช่วงหลังแต่ก็นานมาแล้ว อจ,เพลิน ก็สร้างหนังเรื่องนึง ชื่อ แค้นไอ้เพลิน เห็นมีป้ายคัดเอาท์ใหญ่ๆอยู่ทั่ว น่าจะขาดทุนหลายล้าน

เพลงสมัยก่อนมีข้อเสียคือ ระบบอัดเสียงยังไม่ดี เทคโนโลยียังไม่พัฒนา เวลาเอามาฟฟังสมัยนี้แล้ว ยังไงไม่รู้ มันไมม่เคลียร์ ไม่ขัด   ทั้งที่เรื่องพลังเสียงและเอกลักษณ์เฉพาะตัวมีมาก  ยกตัวอย่างเช่น รุ่งเพชร แหลมสิงห์บุปผา สายชล  ก้าน แก้วสุพรรณ  ดาว บ้านดอน   เย็นจิตร พรเทวี และ ฯลฯ ที่กล่าวมานี้เป็นนักร้องที่เสียงดีสุดยอด

ดูส่วนที่ลอกมาจาก http://www.oknation.net/blog/countryman/2007/11/26/entry-1 ไปก่อนนะครับ นึกออกแล้วจะมาเขียนต่อ...
 -----------------------------------------------------------------------------------------------------------
สมส่วน พรหมสว่าง หรือ เพลิน พรหมแดน เกิดเมื่อ 12 มิถุนายน 2482 มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านกิโลสอง อ. อรัญประเทศ จ.ปราจีนบุรี (ปัจจุบันขึ้นอยู่กับ จ.สระแก้ว ) เป็นบุตรของนายปลื้ม และนางตุ่น พรหมสว่าง มีอาชีพทำนา และฐานะยากจน มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 8 คน เพลิน พรหมแดน เป็นคนที่ 5

เริ่มศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนศรีอรัญโญทัย หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษา (ชั้น ป.4 )แล้ว ได้ช่วยพ่อแม่ทำนาอยู่ระยะหนึ่ง แต่เกิดป่วยเป็นเยื่อหุ้มปอดอักเสบตอนอายุ 15 ปี ทำให้ต้องเข้ามารักษาตัวที่เมืองหลวง โดยอาศัยข้าววัดของวัดเศวตฉัตรกิน พอรักษาหาย ก็เลยบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดนี้จนสอบได้นักธรรมโท


การที่เขาอยากเป็นมหาเปรียญอย่างมาก ทำให้มุท่องหนังสือหามรุ่งหามค่ำอย่างหนักจนป่วย หมอที่รักษาได้พูดกับเขาเล่นๆว่า อย่าดูตำรามาก สึกออกไปร้องรำทำเพลงบ้างก็ได้ เขาก็เลยสึกออกมาในปี 2500 จากนั้น ก็มาเรียนตัดเย็บเสื้อผ้าที่วัดสุทัศน์ เพราะอยากตัดเสื้อผ้าใส่เล่นเท่ๆ แต่เมื่อเรียนเสร็จ เพราะความจนทำให้ไม่ได้เป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้า เพราะไม่มีเงินซื้อจักรเย็บเสื้อผ้า

เนื่องจากเป็นผู้มีนิสัยชอบการร้องเพลง ประมาณปี 2504 เพลิน พรหมแดน ก็ไปช่วยร้องเพลงรำวงในคณะรำวงตาเหมือนเวลามีงานกินเลี้ยง มีรายได้คืนละ 30-40 บาท กับได้รางวัลอีก 5 บาท 10 บาท

วันหนึ่งขณะไปร้องเพลงแถวบุรีรัมย์ เจอ ตชด.คนหนึ่งมาร้องเพลงด้วย และชมว่าเสียงดี ทำไมไม่ไปประกวดร้องเพลง เพลินก็เลยตัดสินใจเข้ามาประกวดร้องเพลงตามงานวัดอยู่ 2 ครั้ง ปรากฏว่าไม่ได้รางวัลอะไรกลับมา

ต่อมาในปี 2503 เมื่อสถานีวิทยุยานเกราะประกาศรับสมัครประกวดร้องเพลงในรายการ ค้นหาดาวรุ่ง ของจำรัส วิภาตะวัธ  เพลิน พรหมแดน ก็ได้สมัครเข้าแข่งขัน และได้รับรางวัลชนะเลิศ ทำให้ได้ก้าวเข้าสู่วงการดนตรีโดยเข้ามาอยู่สังกัดวงชุมนุมศิลปินของจำรัส  ซึ่งตอนนั้นก็มี สมศรี ม่วงศรเขียว , นิยม มารยาท , คำรณ สัมบุณณานนท์ , วงจันทร์ ไพโรจน์ และ เบญจมินทร์ เป็นนักร้องหลัก ตอนแรก เพลิน พรหมแดน ก็ทำหน้าที่แบกกลอง เช็ดรถ และคอยช่วยเหลือหัวหน้าวงอยู่ที่บ้านหัวหน้าแถวบางรัก ตอนนั้นเขาอายุราว 21 กำลังเป็นหนุ่มพอดี

เพลิน พรหมแดน ได้บันทึกเสียงครั้งแรกในปี 2504 ชื่อเพลง ทุ่งร้างนางลืม แต่งโดย นิยม มารยาท งานนี้ สมส่วน พรหมสว่าง ก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นเพลิน พรหมแดน จากการตั้งให้ของจำรัส วิภาตวัต ที่ให้เหตุผลว่าเขาเป็นคนมาจากเขตชายแดน แต่เพลิน พรหมแดน ก็ยังไม่ดังในทันที และไม่มีโอกาสบันทึกเพลงใหม่เพิ่มเติมอีกเลย ต่อมามีผู้ฝากให้ทำงานในโรงงานยาสระผมแฟซ่าแถวถนนรองเมือง ทำให้เบี้ยวงานในวงอยู่บ่อยครั้ง

ต่อมาจำรัสขอให้เขาลาออกจากบริษัท เพื่อเตรียมตัวบันทึกเสียงเพลงที่ 2 ซึ่งเพลินก็ทำตาม พร้อมกันนั้นก็หัดเป็นโฆษกรายการวิทยุ และเล่นละครวิทยุไปด้วย ก่อนที่จะได้เป็นโฆษกเต็มตัวในเวลาต่อมา 

ต่อมาเขาได้บันทึกเสียงเพลงที่ 2 ชื่อวาสนายาจก ซึ่งเป็นเพลงที่เขาหัดแต่งเอง บันทึกเสียงเอง และขายเอง ซึ่งก็ประ สบความสำเร็จอย่างมาก (แต่ข้อมูลบางส่วนบอกว่า เพลงนี้อยู่ภายใต้การทำงานของจำรัส และทำให้เพลินแค่พอมีคนรู้จักมากขึ้นเท่านั้น หลังจากน้นจำรัสก็หมดทุน เพลินเลยรวบรวมเงินเพื่อทำเพลงที่เขาเขียนเองอีก 3 เพลง หนึ่งในนั้นก็คือบุญพี่ที่น้องรัก ซึ่งเพลงนี้ทำให้เขาโด่งดังอย่างมาก )

ในปี 2507 เมื่อจำรัส เลิกทำวง เพื่อหันไปทำวิทยุอย่างเดียว ก็ได้ยกวงให้เพลินไปทำต่อ วงของเพลินเปิดการแสดงครั้งแรกที่ สทร.ท่าช้าง ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของสถานีวิทยุ ปชส.7 ในด้านการแสดงของวงดนตรีลูกทุ่งในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์  และก็ปรากฏว่าวงของเพลินประสบความสำเร็จอย่างมาก

ในปี 25212 ขณะที่กำลังดังอย่างสุดๆ เพลินก็ประกาศยุบวง เพราะรำคาญที่ลูกวงไม่มีระเบียบวินัย หลังจากที่ลูกวงกระจัดกระจายกันไปหมดแล้ว เพลิน พรหมแดนก็ตั้งวงขึ้นมาใหม่

ในระยะแรกๆ เขาร้องเพลงลูกทุ่งแนวทั่วไป แต่แนวเพลงที่ทำให้ประสบความสำเร็จสูงสุด กลับเป็นเพลงที่มีเนื้อร้องและคำพูดในแนวตลกสนุกสนาน ผิดกับนิสัยเงียบขรึม สงบเงียบของเขา จนทำให้ได้รับสมญานามว่า ราชาเพลงพูด เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อ เขาได้เล่นหนังเรื่องฝนใต้ ของบางกอกภาพยนตร์ และสงเคราะห์ สมัตถภาพงศ์ แต่งเพลง สมัครด่วน เพื่อใช้ประกอบภาพยนตร์ ซึ่งเป็นเพลงที่ร้องสลับพูด ปรากฏว่าทั้งหนังและเพลงขายดี ทำให้เขาได้แสดงภาพยนตร์ต่ออีกหลายเรื่อง พอปี 2515 ก็ได้เพลงข่าวสดๆ และเพลงในแนวนี้ตามมาอีกมาก ซึ่งเพลงในแนวนี้ที่ดังก็คือ คึกฤทธิ์คิดลึก กับ อาตี๋สักมังกร

เพลิน พรหมแดน ยังได้รับการยกย่องร่วมกับ ศกุนตลา ศรีภรรยาว่าเป็นต้นแบบในการทำหางเครื่องหรูหราอลังการสำหรับวงดนตรีลูกทุ่งอีกด้วย โดยในปี 2512 เมื่อวงการลูกทุ่งเริ่มซา เพลิน พรหมแดน ที่แต่งงานกับศกุนตลา สาวหนองคายที่เคยไปเรียนภาษาฝรั่งเศสที่เวียงจันทน์ และได้ดูการเต้นจากต่างประเทศสวยๆ ได้เริ่มปรับปรุงรูปแบบวงดนตรีของเขาจนเป็นวงแรกที่หางเครื่องเป็นกิจจลักษณะ มีชุดที่ประดับด้วยขนไก่อลังการ ทำให้วงการกลับมาตื่นเต้นอีกครั้ง

นอกจากมีหางเครื่องทันสมัย วงเพลิน พรหมแดน ยังเป็นจุดเริ่มต้นของตลกชื่อดังมากมายเช่น เพชร ดาราฉาย , จุ๋มจิ๋ม เข็มเล็ก , เด่น ดอกประดู่ , เทพ โพธิ์งาม , น้อย โพธิ์งาม , แดน บุรีรัมย์ , ดู๋ ดอกกระโดน , เพชร โพธิ์ทอง และ ดี๋ดอกมะดัน

เพลิน พรหมแดน เป็นคนที่รักษาสุขภาพได้ดีมาก ทำให้แม้จะมีอายุมาก แต่สุขภาพ รูปร่างหน้าตา ร่างกายยังแข็งแรง และดูหนุ่มแน่น ทั้งเขายังรักษาพลังเสียงได้เป็นอย่างดี เพราะไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เขาบอกเพียงว่าทำจิตใจให้สบายๆ ไม่เครียด และถ้าฝึกนั่งสมาธิได้ด้วยก็จะยิ่งดี เพราะสิ่งเหล่านี้คือ "ยา" ขนานวิเศษที่ไม่ต้องเสียเงินเสียทองไปซื้อหาที่ไหน

ปัจจุบันเพลิน ยังรับงานเดินสายร้องเพลงตามปกติ โดยมีลูกคู่ 1 คนทำหน้าที่โต้ตอบตอนร้องเพลงพูด และทำเพลงเกี่ยวกับพุทธประวัติ ชื่อ ชุด "พระพุทธประวัติ ชีวประวัติของพระพุทธเจ้า " ซึ่งจะมีทั้งหมด 9 ชุดเป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพาน เพลินได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้มาจากหนังสือ "ปฐมโกฏิ" และอีกหลายๆ เล่มมานานหลายปี โดยจุดมุ่งหมายของเรื่องนี้ก็เพื่อที่จะได้นำชีวประวัติที่สมบูรณ์ของพระพุทธเจ้า มาร้อยเรียงเป็นบทเพลงและใส่ทำนองที่แตกต่างกันไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น